Page 10 - รวมอารยธรรมเกือบเสร็จ
P. 10
๖
ส่วนกลางขึ้นมาใหม่แล้ว รัชกาลที่ ๕ ได้ทรงทดลองระเบียบการบริหารที่จะจัดขึ้นใหม่และฝึกหัดผู้ที่จะเป็น
เสนาบดี โดยโปรดจัดประชุมเสนาบดีที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทและเสด็จลงมาประทับเป็นประธาน
สัปดาห์ละครั้ง เพื่อให้การจัดระบบใหม่เป็นไปด้วยความเรียบร้อย การแบ่งส่วนราชการออกเป็น ๑๒
กระทรวงดังกล่าวเท่ากับลดการซ ้าซ้อนก้าวก่ายกัน ส่งผลให้รัชกาลที่ ๕ ทรงสร้างฐานอ านาจการบริหาร
ขึ้นมาใหม่ได้เพราะกว่าครึ่งหนึ่งของเสนาบดีกระทรวงต่างๆ ประกอบด้วยพระเจ้าน้องยาเธอ เสนาบดีที่
เหลือก็เป็นบุคคลที่ทรงไว้วางพระทัย (วรเดช จันทรศร ,๒๕๓๖:๕๐) ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระ
มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีการปรับปรุงระเบียบบริหารราชการส่วนกลางในบางเรื่อง เช่น โปรดให้มีการ
ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงโดยยุบกระทรวงยุทธนาธิการ ตั้งเป็นกระทรวงทหารเรือ ยกงานของกรมพระ
อาลักษณ์เป็นกระทรวงมุรธาธิการให้กรมรถไฟ กรมไปรษณีย์โทรเลข กรมทางขึ้นกับกระทรวงโยธาธิการ
ต่อมาเปลี่ยนเป็นกระทรวงคมนาคม ปรับปรุงกระทรวงธรรมการและเปลี่ยนชื่อเป็นกระทรวงศึกษาธิการ
เป็นต้น ราชการบริหารส่วนกลางที่ปรับปรุงแล้วในสมัยนี้จะประกอบด้วยหน่วยบริหาร ๑๒ กระทรวง คือ
มหาดไทย กลาโหม ต่างประเทศ พระคลังมหาสมบัติ วัง เกษตราธิการ ยุติธรรม ทหารเรือ มุรธาธิการ
คมนาคม ศึกษาธิการ พาณิชย์
นอกเหนือจากการปรับเปลี่ยนหน่วยงานบริหารราชการแล้ว รัฐบาลในยุคการปฏิรูปการปกครอง
ยังได้ด าเนินการปรับปรุงโครงสร้างการบริหารส่วนกลางอีกหลายอย่างที่โดดเด่นคือการจัดตั้งที่ปรึกษา
ราชการ การปรับปรุงงานด้านยุติธรรมใหม่ และการปฏิรูปการคลังให้เป็นระบบมากขึ้น การด าเนินงานใน
เรื่องดังกล่าวมีสาระพอสังเขป คือ
ก. ที่ปรึกษาราชการ
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระชนมายุครบ ๒๐ พรรษา ซึ่งท าให้พระองค์
ทรงใช้อ านาจการบริหารราชการแผ่นดินได้อย่างเต็มที่นั้น พระองค์ทรงเริ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อดึง
อ านาจคืนสู่สถาบันพระมหากษัตริย์ โดยตราพระราชบัญญัติ ๒ ฉบับคือ พระราชบัญญัติที่ปรึกษาราชการ
แผ่นดินกับพระราชบัญญัติเกี่ยวกับที่ปรึกษาส่วนพระองค์เมื่อ พ.ศ.๒๔๑๗ ซึ่งเป็นความพยายามที่จะสร้าง
สถาบันการเมืองขึ้นในการสนับสนุนอ านาจของสถาบันกษัตริย์ สมาชิกของสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดินจึง
เต็มไปด้วยขุนนางรุ่นใหม่และเป็นข้าราชการที่สนับสนุนการรวมอ านาจมาไว้ที่รัชกาลที่ ๕ สภาที่ปรึกษา
ราชการดังกล่าวนับว่ามีบทบาทที่ส าคัญหลายประการ เช่น ประชุมปรึกษากันเรื่องเลิกทาส การจัดเก็บภาษี
อากร รวมทั้งตัดสินคดีเกี่ยวกับการทุจริตของขุนนางส่งรายได้แก่หอรัษฎากรพิพัฒน์ เป็นต้น เมื่อถึงรัชสมัย