Page 5 - แผ่นพับใหม่ ด้านหน้า.indd
P. 5

การภาวนา    คือ    การส�ารวมใจ    ตั้งความปรารถนา    การท�าให้มีขึ้น    การท�าให้เกิดขึ้น    การท�าในใจ
                การตั้งประณิธาน    คือ    การตั้งความปรารถนา    และ  ปณิธาน    คือ    ตั้งใจไว้
                                ทางกายกรรม    ทางวจีกรรม    ทางมโนกรรม
                   ด้วย    การฝึกจิต    การอบรมจิต    การปฏิบัติทางจิต    ของตัวเองเท่านั้น
                           ด้วยจิตต่อจิตถึงจิต    ด้วยจิตว่างสู่จิตว่าง    หาอ้างว้างไม่

               ให้รู้แจ้งชัดตามความจริง    “วิปัสสนา”    ศูนย์    บริสุทธิ์    ว่าง    สามารถสัมผัสได้
      การรู้    “วิปัสสนา”    คือ    รู้นิพพาน   รู้อรหันต์    รู้บรรลุสิ่งสูงสุด    รู้ศูนยภาพ    รู้โดยตลอดรอบคอบ
    รู้  “ธรรม  ธรรมชาติ”  นั้น   ไม่ถูก    ไม่ผิด    และไม่ผิด    ไม่ถูก    เป็นกลาง    เป็นอิสระ    เป็นเช่นนั้นเอง

                 ถูกหรือผิด    และผิดหรือถูกนั้น    ศาสดา    อาจารย์    สาวก    บุคคล    ฯลฯ

       เป็นผู้อุปโลกน์    ก�าหนด    กล่าวอ้าง    เป็นโวหาร    เป็นกติกา    เป็นสัญญา    เป็นข้อก�าหนด    ฯลฯ
        ธรรม    ธรรมชาติ    เป็นสิ่ง    เป็นคุณความดี    เป็นกลาง    เป็นสาธารณะ    เป็นสากล    เป็นอิสระ
      เป็นมรดกโลก    เป็นทุกสิ่ง    ทุกสรรพสิ่ง   มีอยู่ทั่วไปในจักรวาล    ในเอกภพ    ในความว่าง    ในไม่ว่าง

                    ธรรม    ธรรมชาติ    ของสิ่ง    ภายในสิ่งนั้น    ท�าหน้าที่    อยู่ตลอดเวลา
                     จึงก�าหนดว่า    ธรรม    ธรรมชาติ    มีหน้าที่    ท�าหน้าที่    ตลอดเวลา
              มีหน้าที่    ท�าหน้าที่    กระจ่างแจ้ง    เต็มที่อยู่เสมอ    ใจของท่านต่างหากซึ่งไม่รู้กระจ่าง
                   เช่นเดียวกันกับ    การไม่รู้ว่า    การปฏิบัติเพื่อ    “บรรลุสิ่งสูงสุด”    นั้นคือ
                    การไม่ต้องปฏิบัติอะไรเลย    แม้แต่นิดเดียว    เมื่อรู้โดยตลอดรอบคอบแล้ว


                                 วิปัสสนา  รู้แจ้งชัดตามความจริง


                  รู้ได้ด้วย  “ปรัชญามหาปารมิตาสูตร”        คือ การพิจารณาขันธ์ห้า  โดยความเป็นศูนย์
                  รู้ได้ด้วย  “มหาสติปัฏฐานสูตร”            คือ สูตรว่าด้วยการตั้งสติอย่างใหญ่
                  รู้ได้ด้วย  “โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ”  คือ ธรรมอันเป็นไปในฝ่ายแห่งการตรัสรู้
                  รู้ได้ด้วย  “วิปัสสนาญาณ  ๑๖”             คือ การท�าปัญญาให้เห็นแจ้ง

                  รู้ได้ด้วย  “สัญโญชน์  ๑๐”                คือ กิเลสที่ร้อยรัดสัตว์ไว้ในความเวียนว่ายตายเกิด
                  รู้ได้ด้วย  “ฌานสมาบัติ”                  คือ ความดับแห่งเครื่องปรุงแต่งตามล�าดับขั้น
                  รู้ได้ด้วย  การบรรลุสิ่งสูงสุดนั้น        คือ การไม่ต้องปฏิบัติอะไรเลย  แม้แต่นิดเดียว
                             ฯลฯ                       ฯลฯ                        ฯลฯ

                 จงตั้งสติ    ก�าหนด    พิจารณา    ใช้ความคิด    วิจารณญาณ    โยนิโสมนสิการ
      ใน    “ความรู้    ความไม่รู้    ความว่าง”        ใน       “อาหาร......เหยื่อ”       ใน     “มนุษย์  จิตมนุษย์”
             ให้รู้    ให้เข้าถึง    ให้สัมผัส    ให้บรรลุผล    ในปัจจุบัน    ในชาติปัจจุบัน    ในภพปัจจุบัน
                เช่นเดียวกันกับ    การกินอาหาร    การบริโภคอาหาร    ย่อมได้รับผลเองในปัจจุบัน










                         ๕. สิ่ง  สรรพสิ่ง  ทุกสิ่ง  ทุกอย่าง  ไม่จีรัง  ไม่ยั่งยืน  แต่

                   อริยสัจสี่  เป็นหลักความคิด  วิจารณญาณ  ที่จีรัง  ยั่งยืน  เสมอ  และ

                        ไตรลักษณ์  อนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตา  ก็จีรัง  ยั่งยืน  เสมอ
                  วิปัสสนา  รู้แจ้ง  รู้ชัด  รู้กระจ่าง  รู้จีรัง  รู้ไม่จีรัง  รู้ว่า  เป็นเช่นนั้นเอง





                                       ท�า  ดู  ๕  ดู  ธรรม
   1   2   3   4   5   6   7   8   9   10