Page 6 - แผ่นพับใหม่ ด้านหน้า.indd
P. 6

โดยมิต้องรอคอยรับผล    ดังเช่น    การท�าบุญ    สร้างกุศล    สร้างสมบารมี
                         ที่คิดนึกไปเองว่า    หลงเชื่อไปเองว่า    จะได้รับผลในภายหลัง

             ในอนาคตกาล    ในภพหน้า    ในชาติหน้า    ซึ่งเป็นสิ่งมองไม่เห็น    สัมผัสแตะต้องไม่ได้
              ศิลปกรรมที่วิจิตร    เช่น   โบสถ์   วิหาร   พระปรางค์     พระเจดีย์    ศาลเจ้า    เหล่านี้
                        มิใช่ความเจริญของศาสนา    แต่    เป็นความเจริญของอามิสบูชา

      อันเกิดจาก    การบริจาค    การเรี่ยไร    ศรัทธา    ความอยาก    ของคนมีทรัพย์    ไม่มีทรัพย์    เท่านั้น



            การสอน   การเรียน  การเขียน  การอ่าน  การสัมผัส  ธรรม  ธรรมชาติ


                        ด้วยกายกรรม    ด้วยวจีกรรม    ด้วยมโนกรรม    กรรมในกรรม

                   ทางตา    ทางหู    ทางจมูก    ทางลิ้น    ทางกาย (ผิวหนัง)    ทางใจ (จิต)
               ด้วยการตั้งสติ    พิจารณา    ก�าหนดใช้    ความคิด    วิจารณญาณ    โยนิโสมนสิการ
              ด้วยอริยสัจสี่      ความจริงอันประเสริฐ              ด้วยไตรลักษณ์     ความจริงอย่างยิ่ง

                   ให้รู้แจ้งชัดตามความจริง    “วิปัสสนา”    เป็นศูนย์    เป็นบริสุทธิ์    เป็นว่าง
      เป็นว่างหาอ้างว้างไม่    สามารถสัมผัส    เข้าถึง    บรรลุ    “สิ่งสูงสุด”    ได้ด้วยตัวเอง   ด้วย    “สมาธิ”

                                                 สมาธิ


        สมาธิ    คือ    ความตั้งมั่นแห่งจิต    ความตรึกตรองอย่างแน่วแน่    การส�ารวมใจให้แน่วแน่ (อาการ)

     การมีจิตเพ่งเล็งแน่วแน่ในสิ่งใดโดยเฉพาะ    การตั้งมั่นแห่งจิต    ภาวะที่จิตสงบนิ่ง    จับอยู่ในอารมณ์อันเดียว
                  เป็นภาวะของธรรมชาติ    เป็นสภาพของธรรมชาติ    เป็นสภาวะของธรรมชาติ

                   (อาการ    คือ    ความเป็นอยู่    ความเป็นไป    ท่าทาง    ส่วนของร่างกาย)
                                             การท�าสมาธิ


     การท�าสมาธิ  คือ  อุบายที่พยายามสลายความคิดที่แผ่ซ่านอยู่ทั่วทุกทิศ  ให้มาอยู่จุดเดียว  ที่เราก�าหนดภาวนา
                            การฝึกสมาธิ    คือ    การบริหารจิต    ให้มีพลังเข้มแข็ง

                    การท�าใจให้สบาย    อย่าพยายามสร้างหนี้    รู้จักประมาณตน    หมั่นศึกษา
           จิตตานุภาพ    คือ    พลังแห่งดวงจิต           มโนมยิทธิ    คือ   ก�าลังความคิดที่เกิดอิทธิฤทธิ์

                      ความเชื่อมั่นแห่งตนเอง    ท�าให้เกิดอ�านาจจิต    ความเชื่อมั่นเกิดจาก
        ศรัทธา ความเชื่อ          วิริยะ อดทน           สติ ระลึกได้           สมาธิ ความตั้งมั่นในอารมณ์เดียว

                                    ๑. ขนิกสมาธิ     คือ    สมาธิชั่วขณะ
                           ๒. อุปจารสมาธิ    คือ  สมาธิเฉียดๆ  สมาธิจวนจะแน่วแน่

       ๓. อัปนาสมาธิ  คือ  สมาธิแน่วแน่  สมาธิแนบสนิท  สมาธิในฌาน (เป็นชั่วโมง  วัน  เป็นการยึดติด  นิ่ง)
    ๔. อัปปณิหิตสมาธิ  คือ สมาธิอันพิจารณาธรรม  ไม่มีความตั้งปรารถนา  เป็นวิปัสสนาที่ให้ถึงความหลุดพ้น ด้วยก�าหนดทุกขลักษณะ
    ๕. อนิมิตตสมาธิ  คือ  สมาธิอันพิจารณาธรรมไม่มีนิมิต  เป็นวิปัสสนาที่ให้ถึงความหลุดพ้น  ด้วยก�าหนดอนิจจลักษณะ

    ๖. สูญญตสมาธิ  คือ  สมาธิอันพิจารณาเห็นความว่าง  เป็นวิปัสสนาให้ถึงความว่าง  (อนัตตา  :  ไม่ใช่ตัวใช่ตน)
                         เป็นวิปัสสนาที่ให้ถึงความหลุดพ้น    ด้วยก�าหนดอนัตตลักษณะ


             ๖. แดนบริสุทธิ์  อยู่ที่ใจ  อยู่ที่จิต  แดนนิพพาน  แดนอรหันต์  ก็อยู่ที่ใจ  อยู่ที่จิต

                                   สุข  และ  ทุกข์  ก็อยู่ที่ใจ  อยู่ที่จิต
                                 แต่ทั้งหมดนี้  ที่อยู่เดิมแท้  ที่แท้จริงนั้น

                     อยู่ภายนอกใจ  อยู่ภายนอกจิต  อยู่ในว่าง  ความว่างที่ไม่ว่างนั้น
                                     จริงแท้  จีรัง  ยั่งยืน  เสมอ  แล
                                       ท�า  ดู  ๖  ดู  ธรรม
   1   2   3   4   5   6   7   8   9   10