Page 19 - GEH1101-เอกสารประกอบการเรียนการสอน-unit1
P. 19

สุนทรียภาพกับชีวิต






                                                                                                        [34]
                       คนเราสามารถรับรู้ผ่านประสาทสัมผัส อันเป็นเพียงภาพสะท้อนของความจริงที่สูงส่งกว่า
                       ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเรามองดูม้าตัวหนึ่ง และประเมินคุณค่าม้าตัวนั้นว่าสวยงาม การประเมินมี

                       ความหมายว่าเราก าลังบอกว่า ม้าที่อยู่บนโลกตัวนั้นเข้าใกล้แบบความงาม (Form  of  Beauty)

                       เพียงใดในโลกของแบบ ดังนั้น การที่คนเราจะตระหนักต่อแบบความงามได้ควรปฏิบัติดังนี้ ต้อง
                       ตระหนักว่าสิ่งที่เห็นบนโลกเป็นเพียงมายาการหรือภาพสะท้อนอย่างหนึ่ง มิใช่ความจริงแท้ สิ่งที่

                       เป็นความงามบนโลกโดยตัวมันเองมิได้เป็นความงามแท้จริง แต่เป็นเพียงฉายาความงามเท่าที่จะ

                       งามได้ที่รับจากตัวแบบความงามที่เป็นต้นแบบ ฉะนั้น แนวคิดแบบความงามของเพลโทจึงเป็น

                       การปฏิเสธอย่างสิ้นเชิงต่อค าพังเพยที่ว่า ความงามอยู่ที่ตาของผู้เห็น (Beauty is in the eye of the

                                [35]
                       beholder.)  รวมถึงปฏิเสธแนวคิดของโพรแทเกอะเรอส (Protagoras 490 - 420 BC) นักปรัชญา
                       กรีกกลุ่มโซฟิสท์ (Sophist)  ที่เพลโทมีความเห็นว่าเป็นนักคิดที่ส าคัญก่อนยุคโสคราเทส (pre-

                       Socratic  Greek  philosopher)  ที่เชื่อว่า ปัจเจกบุคคลเป็นต้นก าเนิดแห่งคุณค่าทั้งปวง (Man  is

                       the measure of all things.) ซึ่งมีความหมายว่าคุณค่าใดๆ มิได้ก าเนิดจากทวยเทพแลศีลธรรมที่

                                           [36]
                       ปราศจากความยืดหยุ่น
                                               กล่าวได้ว่า ความงามกับศิลปะเป็นค าที่ผูกพันคู่กันมาตั้งแต่ยุค
                       คลาสสิกของกรีก แต่มนุษย์ไม่สามารถหาค านิยามแก่ค าสองค านี้อย่างปราศจากข้อโต้แย้ง ดังนั้น

                       ความงามจึงมิได้เป็นสากล ทั้งนี้ ค าว่า “ความงาม”  น่าจะเป็นค าที่มีสภาพไม่ต่างไปจากค าว่า

                       “ศิลปะ” ที่มีความเป็นไปตามหลักการที่ว่า “meaning as use” ของลุดวิก วิทท์เกนสไทน์ อย่างไรก็

                       ตาม มนุษย์สามารถเข้าใจความหมายของความงามโดยไม่มีค านิยามได้ หากพิจารณาความงาม
                       ตามค ากล่าวของ จอร์จ แบนครอฟท์ (George Bancroft 1800 - 1891) นักการเมือง นักเขียน นัก

                       ประวัติศาสตร์ นักการศึกษา ชาวอเมริกัน ผู้ได้รับการขนานนามว่าเป็นบิดาแห่งประวัติศาสตร์

                       อเมริกา (father of American history) ที่กล่าวว่า ความงามโดยตัวมันเองคือฉายาที่สัมผัสรับรู้ได้

                                                                                            [37]
                       ของพระผู้เป็นเจ้า(Beauty itself is  but the sensible image of the infinite.)   ความหมาย
                       โดยนัยยะของค ากล่าวนั้นคือ จักรวาลมีความงามเพราะพระผู้เป็นเจ้าทรงสร้าง พระผู้เป็นเจ้าเป็น

                       องค์แห่งความบริบูรณ์ ดังนั้น ความซาบซึ้งความงามจึงต้องกระท าด้วยทัศนคติสุนทรียะ

                       (aesthetic attitude) อันหมายถึงการปราศจากขอบเขตเจตนาอื่นใดนอกจากความเบิกบานใจอัน

                       สุนทร (aesthetic enjoyment)

                                               กล่าวโดยสรุป มนุษย์ซาบซึ้งความงามด้วยทัศนคติสุนทรียะ ผ่านการ
                       รู้สึกสัมผัสรับรู้และจินตนาการ ท าให้เกิดสุนทรียภาพขึ้นภายในตัวเอง เช่น มองดูทิวเขา แมกไม้

                       สายธาร ทุ่งบัวตอง ทุ่งทานตะวัน ที่สวยสดงามตระการตา ชมภาพประติมากรรมที่สะเทือนอารมณ์



                                                                                                        19
   14   15   16   17   18   19   20   21   22   23   24