Page 132 - หนังสือคู่มือดำเนินการตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
P. 132

124





                                                                           ั
                มำตรำ ๓๗ ผู้มีอ�ำนำจแต่งต้งตุลำกำรตำมควำมในมำตรำ ๓0 มีอ�ำนำจแต่งต้งผู้พิพำกษำศำลพลเรือน
                                      ั
           เป็นตุลำกำรได้ และแต่งตั้งพนักงำนอัยกำร จ่ำศำลพลเรือน หรือผู้ทรงคุณวุฒิที่เหมำะสมเป็นอัยกำรทหำร
           และจ่ำศำลทหำรได้
                มำตรำ ๓๘ ให้น�ำบทบัญญัติว่ำด้วยศำลทหำรในเวลำปกติมำใช้บังคับในศำลทหำรในเวลำไม่ปกต  ิ

           โดยอนุโลม


                                                 ภำค ๔

                                              ศำลอำญำศึก
                                           ________________



                มำตรำ ๓๙ เมื่อหน่วยทหำรหรือเรือรบอยู่ในยุทธบริเวณจะตั้งศำลอำญำศึกก็ได้
                                                                ี
                ภำยใต้บังคับมำตรำ ๑0 ให้ผู้บังคับบัญชำทหำรสูงสุด ณ ท่น้น ซ่งมีก�ำลังทหำรอยู่ในบังคับบัญชำ
                                                                 ั
                                                                    ึ
           ไม่น้อยกว่ำหนึ่งกองพัน หรือเป็นผู้บังคับบัญชำในเรือรบ ป้อม หรือ ที่มั่นอย่ำงใด ๆ ของทหำรหรือผู้ท�ำกำร
                                                      ื
                                ั
                                                                        ี
                                                                            ึ
           แทน เป็นผู้มีอ�ำนำจแต่งต้งตุลำกำรศำลอำญำศึก เพ่อพิจำรณำคดีอำญำท่เกิดข้นเฉพำะในเขตอ�ำนำจ
           หน้ำที่ของหน่วยทหำรนั้นได้
                เมื่อทหำรบก ทหำรเรือ หรือทหำรอำกำศ กระท�ำกำรร่วมกัน ให้ผู้บังคับบัญชำทหำรสูงสุด ณ ที่นั้น
           เป็นผู้มีอ�ำนำจแต่งตั้งตุลำกำรศำลอำญำศึก
                                       ั
                                                                                           ื
                มำตรำ ๔๐ ผู้มีอ�ำนำจแต่งต้งตุลำกำรศำลอำญำศึกมีอ�ำนำจส่งผู้ต้องหำไปยังศำลทหำรแห่งอ่นให้
                                                                                            ี
           ด�ำเนินกำรพิจำรณำพิพำกษำได้ และให้ศำลท่พิจำรณำพิพำกษำคดีเช่นน้มีอ�ำนำจและหน้ำท่ด่ง
                                                   ี
                                                                                             ั
                                                                           ี
           ศำลอำญำศึก
                มำตรำ ๔1 ศำลอำญำศึกต้องมีตุลำกำรสำมนำย เป็นองค์คณะพิจำรณำพิพำกษำ ตุลำกำรต้อง
           เป็นนำยทหำรชั้นสัญญำบัตร
                                                                    ั
                                                                                           ึ
                มำตรำ ๔๒ ศำลอำญำศึกมีอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำคดีอำญำท้งปวง ซ่งกำรกระท�ำผิดเกิดข้นใน
                                                                          ึ
           เขตอ�ำนำจได้ทุกบทกฎหมำยและไม่จ�ำกัดตัวบุคคล
                          ๑๓
                               ื
                มำตรำ ๔๓  เม่อหมดภำวะกำรรบหรือสถำนะสงครำมหรือเลิกใช้กฎอัยกำรศึก ศำลอำญำศึกยัง
                                                                 ั
           คงมีอ�ำนำจพิจำรณำพิพำกษำคดีท่ค้ำงอยู่ในศำล แต่ผู้มีอ�ำนำจแต่งต้งตุลำกำรศำลอำญำศึกหรือรัฐมนตร ี
                                      ี
           ว่ำกำรกระทรวงกลำโหมมีอ�ำนำจส่งโอนคดีให้ศำลทหำรแห่งอ่นพิจำรณำพิพำกษำได้ ส่วนคดีท่อยู่ในอ�ำนำจ
                                                                                    ี
                                                           ื
                                      ั
           ศำลอำญำศึกแต่ยังมิได้ฟ้อง ให้น�ำไปฟ้องยังศำลทหำรแห่งอ่น และให้ศำลท่พิจำรณำพิพำกษำคดีเช่นน  ี ้
                                                                        ี
                                                           ื
           มีอ�ำนำจและหน้ำที่ดังศำลอำญำศึก
                มำตรำ ๔๔ ให้น�ำบทบัญญัติว่ำด้วยศำลทหำรในเวลำไม่ปกติมำใช้บังคับในศำลอำญำศึกโดยอนุโลม



                ๑๓  มำตรำ ๔๓ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระรำชบัญญัติธรรมนูญศำลทหำร (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕0๓
   127   128   129   130   131   132   133   134   135   136   137