Page 45 - การประชุม HACC Forum ครั้งที่ 13
P. 45
41
01-15 Poster Presentation
ชื่อเรื่อง : การพัฒนาการการดูแลผู้ป่วย STEMI ที่ได้รับยาละลายลิ่มเลือด (SK)
ผู้นำเสนอ : กรกมล จันดี ตำแหน่ง : พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ
E-mail : chandee552@gmail.com เบอร์โทรศัพท์ที่ทำงาน : 0 4487 2377 ต่อ 2112, 1325
เบอร์โทรศัพท์มือถือ : 09 2252 7938 ID line : -
หน่วยงาน : งานอุบัติเหตุและฉุกเฉิน โรงพยาบาลหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ
ความเป็นมาและความสำคัญ : โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด STEMI เป็นโรคที่มีความเสี่ยงสูง
ที่จะเสียชีวิตได้กะทันหัน โรงพยาบาลหนองบัวแดงเป็นโรงพยาบาลชุมชนขนาด M2 ในการพัฒนาดูแลผู้ป่วย
สาขาโรคหัวใจจะต้องมีศักยภาพในการให้ยาละลายลิ่มเลือด streptokinase ก่อนการส่งต่อผู้ป่วย ซึ่งรพ.หนองบัวแดง
ขาดแพทย์เฉพาะทางสาขาหัวใจ จึงจำเป็นต้องส่งต่อผู้ป่วยทั้งหมดและพบว่า พยาบาลยังขาดสมรรถนะด้านให้ยาละลาย
ลิ่มเลือด เพราะเป็นยาตัวใหม่เริ่มใช้ใน รพ.ชุมชนได้ 2 ปี ที่ ER จากสถิติของโรงพยาบาลหนองบัวแดง ปี 2561 พบผู้ป่วย
โรคหลอดเลือดหัวใจ 107 รายเป็น NSTEMI จำนวน 84 ราย STEMI จำนวน 23 ราย ได้ให้ยา SK ที่รพ. 15 ราย
คิดเป็นร้อยละ 65.22 เสียชีวิตก่อน 1 ราย และขณะส่งต่อ 1 ราย ส่งต่อ 16 ราย ส่งต่อรพ.ชัยภูมิ 12 ราย ส่ง รพ.มหาราช
6 ราย และมีผู้ป่วยเสียชีวิตที่กะทันหันที่มาด้วย Cardiac arrest จำนวน 5 ราย คาดว่าน่าจะเกิดจากภาวะหัวใจขาดเลือด
การรักษาผู้ป่วย STEMI โดยการให้ยาละลายลิ่มเลือดเพื่อเปิดหลอดเลือดที่รวดเร็วภายใน 3 ชั่วโมง จะช่วยลดอัตราตาย
ของผู้ป่วยได้ ผู้ป่วยระยะทางในการส่งต่อไกลถ้าไปมหาราช 180 กม. รพ.ชัยภูมิ 50 กม. ทางขึ้นเขาลาดชัน การพัฒนา
ศักยภาพของพยาบาลในการดูแลผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด STEMI ที่ได้ละลายลิ่มเลือด
streptokinase ก่อนการส่งต่อผู้ป่วย จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง
กิจกรรมการพัฒนา : 1) จัดอบรมเชิงปฏิบัติการการให้ยาละลายลิ่มเลือดแก่พยาบาลในโรงพยาบาล
2) ร่วมประชุมเครือข่ายการดูแลผู้ป่วย STEMI ปีละ2ครั้ง
3) จัดอบรม ACLS สำหรับพยาบาล 100% ปีละครั้ง
4) จัดทำแนวปฏิบัติในการให้ยา SK แก่ผู้ป่วยก่อนส่งต่อของโรงพยาบาล
5) พัฒนาระบบส่งต่อให้มีประสิทธิภาพ
การวัดผลและผลของการเปลี่ยนแปลง : 1) มีการจัดอบรมการให้ยา SK สำหรับพยาบาลตึกอื่น และส่งต่อ 1 ครั้ง/เดือน
เดือนเมษายน จำนวน 19 คน จาก 27 คน คิดเป็น ร้อยละ 60 ของพยาบาล 2) พยาบาลที่หอผู้ป่วยในสามารถให้ยาละลาย
ลิ่มเลือดได้ พยาบาลส่งต่อที่ประจำตึกอื่น ๆ มีสมรรถนะในการดูแลผู้ป่วยที่ได้ยา SK ได้ไม่จำเพาะพยาบาลที่ห้องฉุกเฉินเท่านั้น
3) มีแนวทางการบริหารยาทั้งในและนอกเวลาราชการจัดไว้ที่ห้องยา และ ER เตรียมยา Streptokinase ไว้ที่ห้องอุบัติเหตุ
ของโรงพยาบาล 1 ชุด สำหรับใช้นอกเวลาราชที่ในเวลารับที่ห้องยา 4) มีแนวทางการตามพยาบาลมาช่วยดูแลผู้ป่วยที่ให้ SK
ก่อนส่งต่อคือตามพยาบาลตัวจริงมาดูแลขณะให้ยา SK จนยาหมดก่อนส่งตัวผู้ป่วยประมาณ 1 ชม จากนั้นตามพยาบาล refer
เพิ่มอีก 1 คนร่วมไป refer เป็น 2 คน 5) แนวทางปฏิบัติในการให้ยา SK แก่ผู้ป่วยก่อนส่งต่อของโรงพยาบาล ทำให้แพทย์
พยาบาล และเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องกับการดูแลผู้ป่วย STEMI สามารถใช้ CPG ในการตรวจและรักษาผู้ป่วย STEMI ได้อย่าง
ถูกต้อง รวดเร็ว และทันเวลา ในปี 2562 มีผู้ป่วย STEMI 18 ราย ได้ให้SK 14 รายก่อนส่งต่อ คิดเป็นร้อยละ 77.78 เพิ่มจาก
ปีที่แล้วและ 1 ราย ให้ที่ ward ชาย มีผู้ป่วยเสียชีวิตขณะส่งต่อ 1 รายสามารถให้ยาได้ที่ ER 13 รายและที่ ward 1 ราย
และพยาบาลที่นำส่งมีความมั่นใจในการดูแลผู้ป่วย STEMI ที่ได้ยา SK มากขึ้น และส่งผลให้การส่งต่อมีประสิทธิภาพมากขึ้น
บทเรียนที่ได้รับ : โรค STEMI เป็นโรคที่มีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตสูงและการรักษามีความยุ่งยากซับช้อนต้องรักษา
โดยทีมสหวิชาชีพ ทั้งแพทย์ พยาบาล นักวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการ การช่วยตรวจวินิจฉัย เภสัชกร ในการบริหารยา
โดยเฉพาะพยาบาลที่ดูและขณะนำส่งต้องมีความรู้ความสามารถเฉพาะทางในด้านการอ่าน EKG การใช้เครื่องกระตุกหัวใจ
Defibrillation เพื่อประเมินผู้ป่วยและให้การช่วยเหลือได้ทันท่วงที และการให้ความรู้แก่ประชาชนทั่วไปและประชาชน
กลุ่มเสี่ยงเช่นผู้ป่วยความดัน โรคเบาหวาน โรคไขมันในเส้นเลือดสูง เพื่อป้องกันการเกิดโรคและให้ความรู้ในการคัดกรองผู้ป่วย
และการเข้าถึงให้รวดเร็วยิ่งขึ้น
คำสำคัญ : SK