Page 29 - เอกสารประกอบการสอน pdf
P. 29
บทที่ 1 กระบวนทัศน์ของการพัฒนาอย่างยั่งยืน 18
จริยธรรมแห่งความพอใจ และความสุข แนวคิดของพระราชวรมุนี (ประยูรธมฺมจิตฺโต, 2542) กล่าวถึง
ั
การพฒนาอย่างยั่งยืนว่า ในภาษาพระไตรปิฎกหรือภาษาบาลีจะปรากฏในค า 2 ค า คือ “ภาวนา” กับ
“พัฒนา” โดยให้ความหมายของค าทั้งสองนี้ว่า
พฒนา หรือ วัฒนา หมายถึง การเติบโต เช่น ต้นไม้งอกเป็นการเติบโตที่ไม่มีการควบคุม ไม่มีการ
ั
ก าหนดเป้าหมาย ซึ่งอาจจะยั่งยืนหรือไม่ยั่งยืนก็ได้
ภาวนา หมายถึง เจริญ เป็นความเจริญที่ยั่งยืน มีการควบคุม และก าหนดเป้าหมาย ซึ่งค าว่า
ภาวนานี้ ใช้ในการพฒนามนุษย์ คือ กายภาวนา จิตภาวนา ศีลภาวนา และปัญญาภาวนา โดยการพฒนา
ั
ั
ั
ั
ั
ั
ที่ยั่งยืนเป็นการพฒนาที่สัมพนธ์กับมนุษย์ มีมนุษย์เป็นตัวตั้งในการพฒนา ซึ่งหากมองไปว่าการพฒนา
อย่างยั่งยืนเป็นการพฒนาที่สัมพนธ์กับโลกและสิ่งแวดล้อม ส่วนใหญ่หมายถึงการรักษามรดกของโลก
ั
ั
สิ่งแวดล้อมของโลกให้คงอยู่ชั่วลูกชั่วหลาน จะเป็นแนวคิดที่สัมพนธ์กับสิ่งแวดล้อมอย่างเดียว นอกจากนี้
ั
ุ
แนวคิดทางพระพทธศาสนา ยังถือว่ามนุษย์เป็นองค์ประกอบที่ส าคัญ คือให้คนเป็นศูนย์กลางของการ
ั
ั
ื่
ื่
พฒนา เพอให้การพฒนาเป็นไปเพอการสร้างสันติสุข การอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ โดยใช้
การศึกษาเป็นกลไกในการด าเนินการ และมีหลักธรรมทางพทธศาสนาเป็นเครื่องมือ เป็นการใช้วิถีชีวิตของ
ุ
ั
ั
คนเป็นฐานความคิดในการพฒนาคือจะมุ่งไปที่การพฒนาระบบการด าเนินชีวิตของคนชุมชนและสังคม
ตลอดจนสภาพแวดล้อมให้ด ารงอยู่ด้วยดีต่อเนื่องเรื่อยไป
หนทางน าไปสู่การพฒนาที่ยั่งยืนบนพนฐานเศรษฐกิจพอเพยง โดยมีคนเป็นศูนย์กลางการพฒนา
ั
ื้
ี
ั
ในที่นี้จะขอกล่าวถึง “คน” เป็นปัจจัยแรก เพราะ “คน” เป็นปัจจัยที่ส าคัญที่สุดในการที่จะท าให้เกิด
ั
การพฒนาที่ยั่งยืน “คน” เป็นผู้สร้างปัญหาทั้งหลายทั้งปวงให้เกิดขึ้น เพราะตัวกิเลสตัณหาที่มีอยู่ในตัวคน
ั
จึงเป็นปัญหาอปสรรค์ขีดขวางที่จะให้โลกไม่สามารถเดินไปสู่การพฒนาอย่างยั่งยืน ดังที่พระธรรมปิฎก
ุ
(ประยุทธ ปยุตโต, 2541) ได้อธิบายความไว้ ดังนี้
ตัณหา คือ ความอยากได้ อยากบ ารุงบ าเรอตัวเองให้มีความสุขสะดวกสบาย พรั่งพร้อมด้วยวัตถุ
ที่มากมายสมบูรณ์ พูดง่าย ๆ ว่าความอยากได้ผลประโยชน์
ื่
มานะ คือ ความต้องการยิ่งใหญ่ อยากมีอานาจครอบง าผู้อนตั้งแต่ระดับบุคคลถึงระดับสังคม
ประเทศชาติ พูดง่าย ๆ ว่าความใฝ่อ านาจ
ทิฐิ คือ ความยึดมั่น ตลอดจนคลั่งไคล้ในค่านิยม แนวความคิด สิทธิ ศาสนา อดมการณ์ต่าง ๆ
ุ
ข้อนี้ เป็นผู้ร้ายที่สุดที่รองรับส าทับปัญหาไว้ให้เหนียวแน่น ยึดเยื้อ และแก้ไขยากเหมือนกับตัณหาและ
ั
มานะที่นอนก้นแล้ว จะเห็นได้ว่าตัวกิเลสเป็นสิ่งที่ขัดขวางต่อการพฒนาที่ยั่งยืน ถ้าไม่สามารถขจัดหรือ
ื่
ลดละออกจากตัวมนุษย์ได้ เพราะตัวกิเลสตัณหานี้จะเป็นตัวที่ท าลายทุกอย่างในโลก เพอสนองความอยากได้
ุ
ผลประโยชน์ ความอยากมีอานาจความยิ่งใหญ่ หรือความยึดมั่นถือมั่นในค่านิยมอดมการณ์ มนุษย์ท าร้าย
ื่
สิ่งรอบตัวไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรธรรมชาติ สัตว์ สรรพสิ่ง หรือแม้แต่มนุษย์ด้วยกันเอง เพอสนองต่อกิเลส
จึงเป็นเรื่องที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก ลองวาดภาพดูว่าถ้ามนุษย์ชาติทุกคนในโลกนี้มีกิเลสตัณหาครอบง า
อะไรจะเกิดขึ้น โลกจะเป็นอย่างอย่างไร เพราะทรัพยากรธรรมชาติ สัตว์ สรรพสิ่ง หรือแม้แต่มนุษย์ด้วยกัน
จะไม่มีวันยอมให้ถูกท าร้ายแต่เพยงฝ่ายเดียว จะต้องมีการตอบโต้ ดังจะเห็นได้จากการเกิดภัยธรรมชาติ
ี
น้ าท่วม สึนามิ ต้นเหตุเกิดจากมนุษย์ไปท าการตัดไม้ท าลายป่า และท าลายระบบนิเวศวิทยาในโลก
จึงเต็มไปด้วยความวุ่นวายไม่สงบสุข เพราะทุกสิ่งในโลกอยู่อย่างท าลายล้างกัน และผลสุดท้ายก็คือมนุษย์
นั่นเองที่จะประสบกับความพินาศล่มสลาย ดังนั้น การที่จะท าให้มนุษย์ลดละจากกเลสที่เป็นตัวปัญหา ก็คอ
ื
ิ
การพฒนา “ด้านจิตใจ” ให้มนุษย์มีมโนส านึกที่ดี มีความรักความโอบออมอารี เออเฟอเผื่อแผ่ มีเหตุผล
ั
้
ื้
ื้
ุ
สามารถแยกแยะสิ่งดีสิ่งชั่ว รู้ว่าสิ่งไหนควรท าหรือไม่ควรท า ด้วยการใช้หลักพทธธรรมมาขัดเกลา และ