Page 127 - บทความทางวิชาการหลักสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล รุ่นที่ 21
P. 127

๑๑๔



               การออกหมายขังในกรณีผู้ต้องหาเข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน

                                         ิ
                       ประมวลกฎหมายวิธีพจารณาความอาญา มาตรา ๑๓๔ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “เมื่อผู้ต้องหาถูกเรียก
               หรือส่งตัวมา หรือเข้าหาพนักงานสอบสวนเอง หรือปรากฏว่าผู้ใดซึ่งมาอยู่ต่อหน้าพนักงานสอบสวน

               เป็นผู้ต้องหา ให้ถามชื่อตัว ชื่อรอง ชื่อสกุล สัญชาติ บิดามารดา อายุ อาชีพ ที่อยู่ ที่เกิด และแจ้งให้ทราบถึง

               ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระท าที่กล่าวหาว่าผู้ต้องหาได้กระท าผิด แล้วจึงแจ้งข้อหาให้ทราบ” วรรคห้า บัญญัติ
               ว่า “เมื่อได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาแล้ว ถ้าผู้ต้องหาไม่ใช่ผู้ถูกจับและยังไม่ได้มีการออกหมายจับ แต่พนักงาน

               สอบสวนเห็นว่ามีเหตุที่จะออกหมายขังผู้นั้นได้ตามมาตรา ๗๑ พนักงานสอบสวนมีอ านาจสั่งให้ผู้ต้องหาไปศาล
                 ื่
               เพอขอออกหมายขังโดยทันที แต่ถ้าขณะนั้นเป็นเวลาที่ศาลปิดหรือใกล้จะปิดท าการ ให้พนักงานสอบสวนสั่ง
                                                                                                    ิ
               ให้ผู้ต้องหาไปศาลในโอกาสแรกที่ศาลเปิดท าการ กรณีเช่นว่านี้ให้น ามาตรา ๘๗ มาใช้บังคับแก่การพจารณา
               ออกหมายขังโดยอนุโลม หากผู้ต้องหาไม่ปฏิบัติตามค าสั่งของพนักงานสอบสวนดังกล่าว ให้พนักงานสอบสวน
               มีอ านาจจับผู้ต้องหานั้นได้ โดยถือว่าเป็นกรณีจ าเป็นเร่งด่วนที่จะจับผู้ต้องหาได้โดยไม่มีหมายจับ และมีอานาจ

               ปล่อยชั่วคราวหรือควบคุมตัวผู้ต้องหานั้นไว้”
                       กรณีตามมาตรานี้เป็นเรื่องที่ไม่มีการจับ แต่จะขอกล่าวรวม ๆ ว่า เป็นเรื่องที่ผู้ต้องหาเข้ามอบตัวต่อ

               พนักงานสอบสวน หากมีเหตุที่จะออกหมายขังผู้นั้นตามมาตรา ๗๑ พนักงานสอบสวนมีอานาจน าตัวผู้ต้องหา

               มาขอให้ศาลออกหมายขังได้ แต่ก่อนพิจารณาออกหมายขัง จะต้องผ่านเงื่อนไขต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ ประการแรก
               “ได้มการแจ้งข้อกล่าวหาแล้ว” ซึ่งในการแจ้งข้อกล่าวหานั้น ประมวลกฎหมายวิธีพจารณาความอาญา
                                                                                         ิ
                    ี
               มาตรา ๑๓๔ วรรคสอง บัญญัติว่า “การแจ้งข้อหาตามวรรคหนึ่ง จะต้องมีหลักฐานตามสมควรว่าผู้นั้นน่าจะได้

               กระท าผิดตามข้อหานั้น” กล่าวคือ พนักงานสอบสวนจะต้องมีหลักฐานตามสมควรว่าผู้นั้นน่าจะได้กระท าผิด
                                                                                           ้
               อาญาข้อหานั้น (Probable cause) ไม่จ าเป็นต้องถึงขนาดมีเพียงพอที่จะมีความเห็นควรสั่งฟองได้เพราะคดียัง
                                        ื่
               ต้องรวบรวมพยานหลักฐานเพอสรุปส านวนและมีความเห็นต่อไป ประการที่ ๒ “ผู้ต้องหาไมใช่ผู้ถูกจับและ
                                                                     ๑๕
                                                                                             ่
               ยังไมได้มการออกหมายจับ” เพราะถ้าผู้ต้องหาถูกจับมา พนักงานสอบสวนก็สามารถควบคุมตัวได้อยู่แล้วไม่
                       ี
                    ่
               เกิน ๔๘ ชั่วโมง และก่อนครบ ๔๘ ชั่วโมง ถ้ามีความจ าเป็นต้องควบคุมตัวต่อ พนักงานสอบสวนก็น าตัวไปขอ
               ฝากขังได้อยู่แล้วตามมาตรา ๘๗ วรรคสาม และต้องยังไม่ได้มีการออกหมายจับด้วย ถ้าออกหมายจับแล้ว
               ก็ต้องจับผู้นั้นตามหมายจับ เมื่อจับแล้ว ก็มีอานาจควบคุมตัวได้ไม่เกิน ๔๘ ชั่วโมง และน าตัวไปขอฝากขังได้

               ตามมาตรา ๘๗ วรรคสาม มิใช่กรณีที่ต้องน าตัวผู้ต้องหามาขอให้ศาลออกหมายขังตามมาตรา ๑๓๔ วรรค
                                                       ่
                                                         ี
               ท้าย  ประการที่ ๓ “พนักงานสอบสวนเห็นวามเหตุที่จะออกหมายขังผู้นั นได้ตามมาตรา ๗๑” เมื่อไม่ใช่
                   ๑๖
               ผู้ถูกจับและยังไม่ได้มีการออกหมายจับ เงื่อนไขที่จะขอหมายขังได้คือ พนักงานสอบสวนเห็นว่ามีเหตุที่จะออก
               หมายขังผู้นั้นได้ตามมาตรา ๗๑ ประกอบมาตรา ๖๖ กล่าวคือ มีหลักฐานตามสมควรว่าบุคคลนั้นน่าจะได้
               กระท าความผิดอาญา และมีเหตุจ าเป็นในการสอบสวนตามมาตรา ๘๗ เช่น จ าเป็นต้องขอฝากขังเนื่องจาก





                       ๑๕  สหรัฐ กิติ ศุภการ, หลักและค าพิพากษา กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา, พิมพ์ครั้งที่ ๑๑ (กรุงเทพฯ:

               อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, ๒๕๖๓), น. ๓๖๖.
                       ๑๖  สหรัฐ กิติ ศุภการ, เพิ่งอ้าง, น. ๓๖๖.
   122   123   124   125   126   127   128   129   130   131   132