Page 123 - บทความทางวิชาการหลักสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล รุ่นที่ 21
P. 123

๑๑๐



                                                                                             ิ่
                                                                        ั
               ไม่ได้ ถ้าต่อมาในระหว่างฝากขัง พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอยการมีพยานหลักฐานเพมเติมน่าเชื่อว่า
               ผู้ต้องหากระท าผิดในข้อหาที่หนักกว่าที่ศาลออกหมายขังไปในตอนแรก ศาลก็ออกหมายขังในข้อหาหนักกว่าก็
               ได้ เช่น เดิมออกหมายขังในข้อหาลักทรัพย์ในเวลากลางคืนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓๕ (๑)


               วรรคแรก ศาลมีอานาจสั่งขังสูงสุดไม่เกิน ๔๘ วัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพจารณาความอาญา มาตรา ๘๗
                                                                               ิ
                                                                                                     ้
               วรรคห้า เมื่อฝากขังใกล้ครบ ๔๘ วัน พนักงานสอบสวนยื่นค าร้องขอฝากขังต่ออก ๑๒ วัน โดยอางว่า
                                                                                       ี
               การกระท าของผู้ต้องหาเป็นลักทรัพย์ของนายจ้างด้วยและใช้รถยนต์เป็นยานพาหนะตามประมวลกฎหมาย
               อาญา มาตรา ๓๓๕ (๑) (๑๑) วรรคสอง ประกอบมาตรา ๓๓๖ ทวิ ซี่งมีอตราโทษจ าคุกอย่างสูงตั้งแต่สิบปีขึ้น
                                                                            ั
               ไป ศาลมีอ านาจสั่งขังสูงสุดไม่เกิน ๘๔ วัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๘๗ วรรคหก

               ศาลก็ต้องไต่สวนว่ามีพยานหลักฐานตามสมควรที่จะออกหมายขังในข้อหาดังกล่าวได้หรือไม่ ถ้ามีพยานหลักฐาน

               ตามสมควร ศาลก็ออกหมายขังต่อไปได้
                                            ี่
                       ส่วนกรณีที่ ๒ เป็นเรื่องทผู้ต้องหาเข้าหาพนักงานสอบสวนเอง (มอบตัว) พยานหลักฐานที่ต้องมีใน
               การออกหมายขัง ก็ต้องเป็นค าให้การของผู้ต้องหาเป็นอย่างน้อย เพราะการขอออกหมายขังในกรณีนี้ พนักงาน
                                                                                               ิ
               สอบสวนต้องแจ้งข้อหาก่อนจึงจะน าตัวมาขอให้ศาลออกหมายขังได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพจารณาความ
                                                                                           ั
               อาญา มาตรา ๑๓๔ วรรคท้าย ถ้าผู้ต้องหาให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวน ศาลรับฟงบันทึกค าให้การ
                                                                                                        ื่
               ผู้ต้องหาเป็นพยานหลักฐานในการออกหมายขังได้ทันที แต่ถ้าให้การปฏิเสธ ก็ต้องฟงพยานหลักฐานอน
                                                                                         ั
               ประกอบเพยงพอให้น่าเชื่อว่าผู้ต้องหาได้กระท าความผิดในข้อหานั้นซึ่งก็เป็นระดับเดียวกับการออกหมายจับ
                         ี
               นั่นเอง และพยานในชั้นนี้ไม่จ าเป็นว่าจะต้องเป็นค าให้การของพยานปากส าคัญก็ได้ เพราะพยานเหล่านี้

                                                                      ื่
                                           ั
               พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอยการอาจจ าเป็นต้องปกปิดไว้เพอคุ้มครองพยาน ดังจะเห็นได้จาก “บันทึก
                                                                  ี
               ค าให้การพยาน” ได้รับการยกเว้นไม่ต้องส่งต่อศาลเพอให้อกฝ่ายตรวจสอบในวันตรวจพยานหลักฐานตาม
                                                             ื่
               ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๗๓/๒ วรรคหนึ่ง ดังนั้น พยานหลักฐานในชั้นออกหมายขัง
               อาจเป็นพยานแวดล้อม หรือพยานบอกเล่าก็ได้ หรืออาจเป็นพยานที่มีข้อบกพร่องประการอนก็ได้ แต่ต้องมิใช่
                                                                                           ื่
               พยานหลักฐานที่ต้องห้ามมิให้รับฟังโดยเด็ดขาด ดังที่กล่าวไว้ข้างต้น


               มาตรฐานการพิสูจน์ (standard of proof)

                       แม้ในการออกหมายขัง ศาลไม่ต้องถือเคร่งครัดในเรื่องของการรับฟงพยานหลักฐาน แต่ก็ไม่ได้
                                                                                  ั
                                      ั
               หมายความว่า ศาลจะรับฟงพยานหลักฐานได้ทุกชนิด ถ้าพยานหลักฐานนั้นต้องห้ามมิให้รับฟงโดยเด็ดขาด
                                                                                              ั
               ศาลก็รับฟังไม่ได้

                                                                                                ั
                                                             ั
                       ถ้าเป็นพยานหลักฐานที่ไม่ต้องห้ามมิให้รับฟง ก็ต้องถือว่าเป็นพยานหลักฐานที่รับฟงได้นั่นเอง
               ในท้ายที่สุดแล้วก็จะเหลือค าเพยงค าเดียว คือ “พยานหลักฐานที่รับฟังได้” (Admissible) แต่พยานหลักฐาน
                                         ี
                     ั
               ที่รับฟงได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าศาลจะเชื่อพยานหลักฐานนั้น ศาลจะเชื่อพยานหลักฐานนั้นหรือไม่ เป็นเรื่อง
               ของการชั่งน้ าหนักพยานหลักฐานต่อไป
                                                                               ิ
                       การชั่งน้ าหนักพยานหลักฐาน จึงเป็นเรื่องที่ศาลใช้ “ดุลพินิจ” พเคราะห์หาความน่าเชื่อถือของ
               พยานหลักฐานนั้น ๆ โดยใช้เหตุผล สามัญส านึก และหลักตรรกวิทยาค้นหาความน่าจะเป็น โดยพจารณาถึง
                                                                                                 ิ
   118   119   120   121   122   123   124   125   126   127   128