Page 190 - บทความทางวิชาการหลักสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล รุ่นที่ 21
P. 190
๑๗๗
ิ
จะขอช าระค่าปรับเมื่อคดีถึงที่สุดแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพจารณาความอาญา มาตรา ๒๔๕ วรรค
หนึ่ง หาได้ไม่
ดังนั้น เมื่อจ าเลยไม่ช าระค่าปรับ แม้คดียังไม่ถึงที่สุดก็สามารถบังคับคดีได้ โดยในการบังคับคดีศาล
ื่
อาจเลือกใช้วิธียึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องในทรัพย์สินของจ าเลยเพอใช้ค่าปรับ หรือจะสั่งให้กักขัง
29
จ าเลยแทนค่าปรับ วิธีใดวิธีหนึ่งได้ตามที่เห็นสมควร โดยในส่วนของการยึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิ
เรียกร้องในทรัพย์สินเพอใช้ค่าปรับนั้นเป็นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙/๑ วรรคหนึ่ง
ื่
ซึ่งบัญญัติไว้ว่า “ในกรณีที่ผู้ต้องโทษปรับไม่ช าระค่าปรับภายในก าหนดเวลาตามมาตรา ๒๙ วรรคหนึ่ง ให้
ื่
ศาลมีอานาจออกหมายบังคับคดีเพอยึดทรัพย์สินหรืออายัดสิทธิเรียกร้องในทรัพย์สินของผู้นั้นเพอใช้
ื่
ค่าปรับ” แต่โดยมาตรา ๒๙ วรรคหนึ่งตอนท้าย ได้บัญญัติถึงมาตรการชั่วคราวก่อนบังคับช าระค่าปรับไว้ว่า
ถ้าศาลเห็นเหตุอนควรสงสัยว่าผู้นั้นจะหลีกเลี่ยงไม่ช าระค่าปรับ ศาลจะสั่งเรียกประกันหรือจะสั่งให้กักขัง
ั
ผู้นั้นแทนค่าปรับไปพลางก่อนก็ได้ จึงมีผลว่าศาลอาจจะสั่งให้กักขังแทนค่าปรับได้ทันทีตั้งแต่วันที่ศาล
30
ิ
พพากษา ท าให้ทางปฏิบัติของศาล เมื่อศาลพพากษาให้ปรับและจ าเลยไม่ช าระค่าปรับ ศาลจะสั่งให้
ิ
กักขังจ าเลยแทนค่าปรับทันที
จากการศึกษาพบว่า การบังคับโทษปรับ แม้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙ จะมีก าหนด
ขั้นตอนและวิธีการไว้ชัดเจน แต่ก็มีลักษณะตายตัวโดยมิได้ถูกน ามาใช้โดยค านึงถึงฐานะทางการเงินหรือ
ความสามารถในการช าระค่าปรับของจ าเลยแต่ละบุคคล อีกทั้งปัจจัยแวดล้อมประการอื่นของจ าเลย และมี
แนวโน้มไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์อนแท้จริงของกฎหมาย ซึ่งอาจก่อปัญหาต่าง ๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจและ
ั
สังคม รวมทั้งปัญหาที่จ าเลยยอมถูกกักขังแทนค่าปรับโดยไม่ขวนขวายหาทางที่จะหาเงินมาช าระค่าปรับ
ท าให้รัฐต้องรับภาระค่าใช้จ่ายในการดูแลจ าเลยที่ถูกกักขังแทนค่าปรับ ปัญหาสภาพชีวิตผู้ถูกกักขังถูก
ลิดรอนเนื่องจากไม่มีสถานที่กักขังที่เป็นสัดส่วน ไม่เป็นไปตามความมุ่งหมายของกฎหมายที่ประสงค์จะให้
สถานที่กักขังมิใช่สถานที่ในเรือนจ า สถานีต ารวจ หรือสถานที่ควบคุมผู้ต้องหาของพนักงานสอบสวน
ี
เพราะรัฐไม่มีงบประมาณเพยงพอและทั่วถึงทุกพนที่ในการสร้างสถานที่กักขังดังกล่าวให้สามารถรองรับ
ื้
ผู้ต้องโทษกักขัง
ด้วยสภาพปัญหาเหล่านี้จึงท าให้โทษปรับไม่ได้เป็นมาตรการลงโทษที่ทรงประสิทธิภาพที่จะข่มขู่
ยับยั้งไม่ให้บุคคลกระท าความผิด เพราะปัจจุบันผู้กระท าความผิดมีมากและมีความหลากหลายในประเภท
ของความผิด และในท้ายที่สุดยอมให้ตนถูกกักขังแทนค่าปรับ ซึ่งผู้ศึกษามองว่าส่วนหนึ่งเกิดจากการตีความ
บทบัญญัติมาตรา ๒๙ วรรคหนึ่ง และเพื่อขยายสภาพของปัญหาให้ชัดเจนขึ้น จึงแยกปัญหาออกดังนี้
(๑) ตามแนวทางปฏิบัติของศาล ไม่มีการก าหนดหลักเกณฑ์และขั้นตอนวิธีปฏิบัติเมื่อ
จ าเลยไม่ช าระค่าปรับไว้ชัดเจนว่า เมื่อศาลพพากษาลงโทษปรับแล้ว ศาลต้องก าหนดเวลาให้จ าเลยน าเงิน
ิ
มาช าระค่าปรับภายใน ๓๐ วัน ก่อนหรือไม่ ตามมาตรา ๒๙ วรรคหนึ่งตอนแรก
29 ค าพิพากษาฎีกาที่ ๓๒๘๗/๒๕๓๔.
30 ค าพิพากษาฎีกาที่ ๔๘๙๗/๒๕๕๐.