Page 785 - บทความทางวิชาการหลักสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล รุ่นที่ 21
P. 785

๗๗๓

                 ออกจากเขตป่าสงวนแห่งชาติแล้ว รวมถึงเพิ่มเติมขอบเขตแห่งอ านาจสั่งให้ผู้กระท าความผิดรื้อถอนสิ่งปลูก

                 สร้าง หรือน าสิ่งใด ๆ อันก่อให้เกิดการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติออกจากป่าสงวนแห่งชาติภายใน
                                                               ิ
                                     ี
                 ระยะเวลาที่ก าหนดได้อกด้วย อย่างไรก็ตาม มีข้อน่าพจารณาตามมาตรา ๓๑วรรคสาม ว่าศาลจะสั่งให้
                                                                                                  ิ
                 ผู้กระท าผิดออกไปและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างได้ ถ้อยค าตัวบทบัญญัติว่าก็ต่อเมื่อเป็นกรณีที่มีค าพพากษา
                 ชี้ขาดว่ามีผู้กระท าความผิดข้อหายึดถือครอบครองท าประโยชน์หรืออยู่อาศัยในที่ดิน ก่อสร้าง แผ้วถาง
                 เผาป่า ท าไม้ เก็บหาของป่า หรือกระท าด้วยประการใด ๆ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวน

                 แห่งชาติ และความปรากฏว่าบุคคลนั้นยึดถือหรือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาตินั้น

                 ครอบคลุมถึงพฤติการณ์แห่งรูปคดีที่ศาลอาจรับฟังว่าผู้ถูกฟ้องหรือจ าเลยขาดเจตนากระท าความผิด
                      ้
                 ตามฟองก็ดี คดีขาดอายุความแล้วก็ดี หรือมีเหตุตามกฎหมายที่ไม่ควรต้องรับโทษก็ดี ศาลก็ต้องยกฟ้อง
                 โจทก์ปล่อยจ าเลยไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๘๕ แต่ทางพิจารณาได         ้
                              ้
                 ความเป็นยุติแลวว่าจ าเลยนั้นยังคงยึดถือครอบครองที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติอยู่โดยมิชอบ ศาลจะ

                 มีอานาจสั่งให้กระท าการตามวิธีการของโทษอุปกรณ์ตามมาตรา ๓๑ วรรคสาม ได้หรือไม่ โดยเฉพาะ
                                                                  ั
                 กรณีศาลยกฟองเพราะจ าเลยขาดเจตนากระท าความผิดอนจะขอยกเป็นกรณีศึกษามีปรากฏให้เห็นได      ้
                             ้
                 ในหลายคดี ทั้งนี้นักกฎหมายมีความคิดเห็นในประเด็นนี้ออกเป็นสองแนวทาง กล่าวคือ แนวทางแรก
                 มีความเห็นว่าการบังคับใช้วิธีการของโทษอุปกรณ์ต้องเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมาย โดยจะ
                 บังคับใช้วิธีการของโทษอุปกรณ์ได้ก็ต่อเมื่อศาลได้พิพากษาลงโทษจ าเลยว่ากระท าความผิดตาม

                 บทบัญญัติแห่งกฎหมาย และลงโทษตามที่กฎหมายก าหนดโทษไว้เสียก่อนอันเป็นแนวคิดการใช         ้

                                                                             ่
                 กฎหมายโดยแปลความอย่างเคร่งครัด ส่วนแนวทางที่สองมีความเห็นวาแม้กรณีที่ศาลมีค าพพากษาให  ้
                                                                                                ิ
                 ยกฟ้องโจทก์เพราะจ าเลยขาดเจตนากระท าความผิด แต่ทางพิจารณาได้ความว่าจ าเลยยังยึดถือหรือ
                 ครอบครองท าประโยชน์หรือมีสิ่งปลูกสร้างอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลย่อมม ี

                 อานาจสั่งให้จ าเลยกระท าการหรืองดเว้นกระท าการใด ๆ ตามวิธีการของโทษอุปกรณ์ได้โดยผลของ

                 กฎหมาย ท าให้ค าพพากษาของศาลยุติธรรมในประเด็นนี้ยังมิได้อยู่ในบรรทัดฐานเดียวกัน ส่งผลท าให้
                                  ิ
                 เกิดความสับสนแก่ประชาชนผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับอรรถคดีความ และพนักงานเจ้าหน้าที่ที่จะต้อง
                 ปฏิบัติหน้าที่และบังคับให้เป็นไปตามผลแห่งค าพิพากษา และเนื่องจากจุดหมายที่ส าคัญยิ่งประการ

                 หนึ่งของประเทศชาติคือการสงวนและรักษาไว้ซึ่งป่าไม้และทรัพยากรธรรมชาติให้สมดุลและยั่งยืน จึง

                 มีข้อพึงพิจารณาว่า แม้เป็นกรณีที่ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์ แต่เมื่อเหตุผลแห่งค าวินิจฉัยได้กล่าวถึง
                 หรือได้ชี้ขาดว่าจ าเลยยังยึดถือหรือครอบครอง หรือมีสิ่งปลูกสร้างอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติที่เกิดเหต ุ

                 ตามฟ้องแล้ว จะปรับใช้บทบัญญัติว่าด้วยโทษอุปกรณ์ตามมาตรา ๓๑ วรรคสาม แก่คดีเพ่อเป็นการ
                                                                                                ื
                 ปกป้อง คุ้มครอง และฟ้นฟูป่าสงวนแห่งชาติให้เป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติไว้แล้วได้หรือไม่
                                       ื
                 ในบทความนี้ผู้เขียนจึงจะท าการศึกษาสืบค้นถึงหลักการกฎหมายของมาตรการบังคับทางอาญาที่มีอยู ่

                 ในระบบกฎหมายของประเทศไทย รวมถึงเจตนารมณ์และความมุ่งหมายของตัวบทบัญญัติตาม
                                                                                                  ิ
                 พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ มาตรา ๓๑ และศึกษาเปรียบเทียบกับแนวค าพพากษา
                 ศาลฎีกาที่ปรับใช้กฎหมายว่าด้วยโทษอุปกรณ์ เพ่อแสดงให้เห็นว่าแท้จริงแล้วบทบัญญัติว่าด้วยโทษ
                                                            ื
   780   781   782   783   784   785   786   787   788   789   790