Page 787 - บทความทางวิชาการหลักสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล รุ่นที่ 21
P. 787

๗๗๕

                 กฎหมายปรับแก่คดีให้เกิดประสิทธิผลให้มากที่สุด ทั้งนี้ บทบัญญัติที่เป็นแม่บทก าหนดโทษแก่ผู้ฝ่าฝืน

                 ป่าสงวนแห่งชาตินั้น ถูกบัญญัติไว้ในมาตรา ๓๑ แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติฯ อันเป็นบท
                 ก าหนดโทษตามประมวลกฎหมายอาญาที่จะลงแก่ผู้ฝ่าฝืน นอกจากนี้ในวรรคสามหรือวรรคท้ายยัง

                 บัญญัติให้ศาลสั่งให้ผู้กระท าความผิด คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทน และบริวารออกไปจากเขตป่าสงวน

                 แห่งชาติ ตลอดจนสั่งให้ผู้กระท าความผิดรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง หรือน าสิ่งใด ๆ อันก่อให้เกิดการเสื่อม
                 เสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติออกจากป่าสงวนแห่งชาติภายในระยะเวลาที่ก าหนดด้วย แต่เนื่องด้วย

                                                      ื
                 การพิจารณาคดีอาญาของศาลนั้นอยู่บนพ้นฐานการรับฟังข้อเท็จจริงยุติก่อนที่จะน าข้อกฎหมายมา
                                                                                     ี
                 ปรับแก่คดี และบทบัญญัติตามมาตรา ๓๑ วรรคสาม ที่ให้อ านาจศาลที่จะสั่งวิธการดังกล่าวนั้นจะต้อง
                 เป็นกรณีที่ศาลมีค าพิพากษาชี้ขาดว่ามีบุคคลกระท าความผิดตามมาตรานี้ ท าให้มีข้อสังเกตว่าจะน า

                                              ื่
                                                                                      ี
                 บทบัญญัติดังกล่าวปรับใช้แก่คดีเพอคุ้มครองป่าสงวนแห่งชาติได้อย่างครอบคลุมเพยงใด ทั้งผู้เขียนยังพบ
                 ปัญหาที่เกิดขึ้นแล้วว่าในกรณีที่ศาลฟังข้อเท็จจริงว่าจ าเลยขาดเจตนายึดถือหรือครอบครองป่าสงวน
                 แห่งชาติที่เกิดเหตุตามฟ้อง แต่ระหว่างพิจารณายังคงยึดถือหรือครอบครองโดยไม่ยอมออกไป

                 ศาลฎีกาได้มีค าวินิจฉัยกรณีบทบัญญัติตามมาตรา ๓๑ วรรคสาม หรือค าพิพากษาศาลฎีกาที่
                 แพร่หลายกล่าวถึงบทบัญญัติดังกล่าว โดยเรียกว่า “โทษอุปกรณ์” ซึ่งให้เหตุแห่งค าวินิจฉัยและมีผล

                 คดีในส่วนนี้ต่างกัน จึงจ าเป็นต้องศึกษาหลักกฎหมาย ตลอดจนแนวคิดและทฤษฎีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
                   ื
                 เพ่อให้ทราบว่าแนวทางการปรับใช้บทบัญญัติตามมาตรา ๓๑ วรรคสาม ให้เกิดความชัดเจนทาง
                 วิชาการ

                            ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ได้ให้ความหมายของค าว่า

                 “กฎหมายอาญา” หมายความว่า กฎหมายที่ก าหนดลักษณะของการกระท าที่ถือว่าเป็นความผิด และ

                 ก าหนดบทลงโทษทางอาญาส าหรับความผิดนั้น กฎหมายอาญาจึงเป็นกฎหมายที่ก าหนดว่าการกระท า
                 หรือไม่กระท าอย่างใดเป็นความผิด และก าหนดโทษส าหรับผู้กระท าความผิด  ความผิดอาญาส่วนใหญ่
                                                                                  ๒
                 มีลักษณะที่มาจากศีลธรรมหรือเป็นความผิดในตัวเอง ( mala in se) แต่ปัจจุบันก็เกิดกฎหมายทางเทคนิค

                 ขึ้นมาก จึงมีความผิดตามที่กฎหมายบัญญัติขึ้น (mala prohibita) เช่น กฎหมายควบคุมโรงงาน
                                                         ั
                                                 ิ
                 อตสาหกรรมต่าง ๆ ไม่ให้ปล่อยสารพษมาท าอนตรายแก่ชุมชน ซึ่งก็น่าจะถูกต้องชอบด้วยเหตุผลและ
                  ุ
                 ศีลธรรมในตัวเอง แต่ก็มีกฎหมายที่บัญญัติไว้บางประเภทที่ไม่เกี่ยวกับศีลธรรมเลย เช่น การขับรถต้องมี
                                                                                    ๓
                 ใบอนุญาตขับขี่หรือกฎหมายเกี่ยวกับการทะเบียนราษฎร์ การภาษีอากร เป็นต้น  หากกล่าวถึงกฎหมาย
                                                   ื่
                 เกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมก็ถูกบัญญัติขึ้นเพอเป็นการปกป้องคุ้มครองและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
                 สิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศแต่ก็ยังคงเกี่ยวโยงกับศีลธรรมด้วยเช่นเดียวกัน



                            ๒  ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒ วรรคแรก บัญญัติว่า  “บุคคลจักต้องรับโทษในทางอาญาต่อเมื่อได้
                 กระท าการอันกฎหมายที่ใช้ในขณะกระท านั้นบญญัติเป็นความผิดและก าหนดโทษไว้ และโทษที่จะลงแก่ผู้กระท าความผิด
                                                   ั
                 นั้นต้องเป็นโทษที่บัญญัติไว้ในกฎหมาย”.                     .
                            ๓  รองศาสตราจารย์ ดร.ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ, ค าอธิบายกฎหมายอาญา ภาคทั่วไป, พิมพ์ครั้งที่ ๑๓
                 (กรุงเทพมหานคร : วิญญูชน),  หน้า ๑๔ – ๑๖.
   782   783   784   785   786   787   788   789   790   791   792