Page 788 - บทความทางวิชาการหลักสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล รุ่นที่ 21
P. 788

๗๗๖

                                                                                                       ั
                            ตามประมวลกฎหมายอาญาได้บัญญัติถึงมาตรการบังคับทางอาญา (Criminal sanction) อน
                 เป็นมาตรการบังคับต่าง ๆ ในกฎหมายอาญาที่จะใช้แก่ผู้กระท าความผิดโทษไว้ ๒ ประการ คือ โทษ และ
                         ื่
                 วิธีการเพอความปลอดภัย โดยมาตรา ๑๘ บัญญัติถึงโทษส าหรับลงแก่ผู้กระท าความผิดไว้ ๕ สถาน ได้แก่
                 (๑) ประหารชีวิต (๒) จ าคุก (๓) กักขัง (๔) ปรับ และ (๕) ริบทรัพย์สิน ส าหรับวิธีการเพอความ
                                                                                                  ื่
                                                   ี
                                                                 ื่
                 ปลอดภัยเป็นมาตรการบังคับทางอาญาอกประการหนึ่งเพอป้องกันมิให้บุคคลกระท าความผิดหรือกระท า
                                                             ื
                 ความผิดอก ซึ่งตามมาตรา ๓๙ ได้ก าหนดวิธีการเพ่อความปลอดภัยไว้ ๕ ลักษณะ ได้แก่ (๑) กักกัน
                         ี
                 (๒) ห้ามเข้าเขตก าหนด (๓) เรียกประกันทัณฑ์บน (๔) คุมตัวไว้ในสถานพยาบาล และ
                 (๕) ห้ามการประกอบอาชีพบางอย่าง กฎหมายจึงได้ให้อานาจศาลที่จะพพากษาลงโทษและก าหนด

                                                                                 ิ
                 ในค าพิพากษาเกี่ยวกับวิธีการเพื่อความปลอดภัยควบคู่กันไปก็ได้ หรืออย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ แล้วแต่ว่าศาล
                 จะใช้บังคับโดยค านึงถึงวัตถุประสงค์ของการลงโทษผู้กระท าความผิดนั้น ๆ

                            ศาสตราจารย์ จิตติ ติงศภัทิย์ อธิบายความหมายของค าว่า “โทษ” ตามมาตรา ๑๘ ในทาง

                 ทฤษฎีแยกออกเป็นการแบ่งในแง่กฎหมายและในแง่ลักษณะของโทษ กล่าวถึงในแง่กฎหมาย แบ่งออกเป็น
                 โทษประธาน (les peines principales) โทษอุปกรณ์ (les peines accessoires) และโทษผนวก

                                                    ุ
                 (les peines complementaires) โทษอปกรณ์และโทษผนวกนั้น ในทางปฏิบัติมิได้แยกจากกัน
                 เคร่งครัด ในทางทฤษฎีโทษอุปกรณ์หมายความถึงโทษที่ต้องลงติดตามโทษประธานไปโดยผลของ
                                               ิ่
                 กฎหมาย โทษผนวกหมายถึงโทษเพมเติมที่ศาลอาจลงแก่ผู้กระท าความผิดอกได้ เช่น โทษริบทรัพย์เป็น
                                                                                 ี
                           ๔
                                                                                                  ื่
                 โทษอปกรณ์  หรือเดิมโทษกักกันถือเป็นโทษอปกรณ์ แต่ภายหลังกฎหมายได้เปลี่ยนเป็นวิธีการเพอความ
                                                       ุ
                      ุ
                             ๕
                                                  ิ่
                                                                                                       ่
                 ปลอดภัยแล้ว  โทษที่เป็นมาตรการเพมเติมขึ้นมาเหล่านี้ความจริงเป็นข้อหาและค าบังคับในทางแพง
                                            ิ
                 แต่เมื่อกฎหมายบัญญัติให้ศาลพพากษาหรือมีค าสั่งไปในการลงโทษทางอาญา จึงถือเป็นส่วนหนึ่งของ
                 คดีอาญานั่นเอง หรือให้จ ากัดสิทธิบางประการ มีผลให้พนักงานอยการฟองและมีค าขอเข้ามาในคดีอาญา
                                                                             ้
                                                                       ั
                                                                                           ๖
                 ได้ และไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๕๒
                            ศาสตราจารย์ ดร.คณิต ณ นคร ได้อธิบายเรื่องเกี่ยวกับโทษตามมาตรา ๑๘ ที่เป็น
                 “โทษหลัก” (Hauptstrafe/principal punishment) คือ โทษประหารชีวิต โทษจ าคุก และโทษปรับ ส่วน
                 โทษอื่น ๆ นั้นเป็น “โทษข้างเคียง” (Nebenstrafe/additional punishment) ความแตกต่างระหว่างโทษ

                 หลักกับโทษข้างเคียง อยู่ที่ว่า “โทษหลัก” เป็นโทษที่ใช้ลงได้โดยตัวเอง แต่การ “ลงโทษข้างเคียง” จะ


                            ๔  ค าพิพากษาศาลฎีกาที่ ๗๓๕/๒๔๘๔ ศาลฎีกาเห็นว่า ในคดีนี้เมื่อไม่มีกฎหมายบัญญัติอายุความเป็น
                 พิเศษ คดีก็ย่อมตกอยู่ในหลักอายุความทั่วไปตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา ๗๘(กฎหมาย
                 เดิม) กฎหมายมิได้บัญญัติว่า ผู้ใดมีไม้สักเป็นผิด แต่บัญญัติให้เป็นผิดเมื่อชักลาก คดีนี้ไม้ตกอยู่ที่จ าเลยกว่า ๕ ปี จึงเห็นได้
                 ว่าจ าเลยท าผิดมากกว่า ๕ ปีแล้ว คดีจึงขาดอายุความ และเห็นว่าการขอให้ริบทรัพย์เป็นโทษส่วนควบ เมื่อคดีที่กล่าวหา
                 ขาดอายุความตามกฎหมายแล้วโทษอุปกรณ์ก็ย่อมรับไว้พิจารณาด้วยไม่ได้ดุจเดียวกัน จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์.
                            ๕  ค าพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๒๙๑/๒๔๘๑ ศาลฎีกาตัดสินว่าโทษกักกันเป็นโทษอาญาสถานหนึ่ง (กฎหมาย
                 เดิม)  แต่เป็นโทษอุปกรณ์จากโทษอันเป็นประธาน โทษกักกันเป็นโทษซึ่งอยู่ในดุลยพินิจของศาลที่ลงโทษ.
                            ๖  ศาสตราจารย์ จิตติ ติงศภัทิย์, กฎหมายอาญา ภาค ๑, พิมพ์ครั้งที่ ๑๐ (กรุงเทพมหานคร : จิรรัชการพิมพ์,
                 ๒๕๔๖), หน้า ๑๐๒๔ – ๑๐๒๖.
   783   784   785   786   787   788   789   790   791   792   793