Page 792 - บทความทางวิชาการหลักสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล รุ่นที่ 21
P. 792

๗๘๐

                 รัฐธรรมนูญแต่อย่างใด (ค าพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๑๗๕/๒๕๕๐, ๖๖๐๒/๒๕๕๐, ๑๔๔๖๔/๒๕๕๘,

                 ๘๓๔๕/๒๕๖๐, ๘๓๔๖/๒๕๖๐, ๓๘๔๙/๒๕๖๒, ๕๔๐๐/๒๕๖๒, ๑ – ๓/๒๕๖๓ )

                                   ุ
                 ๒. การปรับใช้โทษอปกรณ์ให้สอดคล้องกับกฎหมาย
                            การก าหนดโทษให้สอดคลองกับกฎหมายนั้นมีหลกการประการส าคัญวา การก าหนดโทษ
                                                                      ั
                                                   ้
                                                                                         ่
                 ต้องอยู่ภายใต้ขอบอานาจของกฎหมาย หรือตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ โดยต้องสอดคล้องหรือไม่ขัดต่อ

                 รัฐธรรมนูญและกฎหมายวิธีพจารณาความด้วยรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๙ วรรคหนึ่ง
                                         ิ
                 บัญญัติว่า “บุคคลไม่ต้องรับโทษอาญา เว้นแต่ได้กระท าการอันกฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลาที่กระท านั้น

                 บัญญัติเป็นความผิดและก าหนดโทษไว้ และโทษที่จะลงแก่บุคคลนั้นจะหนักกว่าโทษที่บัญญัติไว้ใน

                 กฎหมายที่ใช้อยู่ในเวลาที่กระท าความผิดมิได้” ซึ่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒ วรรคหนึ่ง
                 ก็บัญญัติรับรองหลักนี้ไว้เช่นเดียวกัน ถือเป็นหลักสากลอันเป็นที่ยอมรับกันในนานาอารยประเทศ

                 หรือที่เรียกกันว่า “ไม่มีความผิด ไม่มีโทษ หากไม่มีกฎหมาย” แต่มีข้อสังเกตว่าหลักกฎหมายดังกล่าว

                 ต้องเป็นกรณีบุคคลจักต้องรับโทษในทางอาญา และเป็นโทษที่ได้บัญญัติไว้ในกฎหมาย เช่นนี้ หาก
                                                                                      ุ
                 ไม่ได้เป็นโทษทางอาญาหรือเป็นมาตรการด้านอน ๆ เช่น บทบัญญัติว่าด้วยโทษอปกรณ์หรือมาตรการ
                                                          ื่
                                ื
                 บังคับทางอาญาอ่น ก็ไม่อยู่ภายใต้บทบัญญัติหลักการนี้ โดยเฉพาะโทษอุปกรณ์บางลักษณะความจริง
                 คือเป็นข้อหาและค าบังคับในทางแพ่งที่ให้น ามาเป็นส่วนหนึ่งของคดีอาญาเท่านั้น ปัจจุบันกฎหมาย

                 และพระราชบัญญัติหลายฉบับที่มีโทษตามประมวลกฎหมายอาญา และมีบทบัญญัติว่าด้วยโทษ

                          ื่
                                                                              ั
                 อปกรณ์เพอใช้บังคับแก่ผู้กระท าความผิดนั้น ผู้ร่างกฎหมายมีแนวโน้มพฒนากฎหมายโดยน ามาตรการ
                  ุ
                 ดังกล่าวบัญญัติรวมอยู่ในมาตราเดียวกันกับบทก าหนดโทษ ทั้งนี้ได้บัญญัติไว้ส่วนท้ายหรือเป็นวรรค
                 เอกเทศตอนท้าย โดยท่อนหรือวรรคท้ายนั้นจะตราถ้อยค าตัวบทให้เป็นเหตุเป็นผลสัมพันธ์กับท่อน
                 หรือวรรคก่อนที่บัญญัติโทษที่จะลงตามประมวลกฎหมายอาญาแก่ผู้กระท าความผิดมาตรานั้น ๆ

                 โดยหลักแล้วการปรับใช้มาตรการหรือโทษอุปกรณ์ควรสอดคล้องกับการวางโทษหลักหรือโทษเสริมที    ่

                 จะลงอันเป็นไปตามตัวบทกฎหมาย แต่เมื่อโทษอุปกรณ์มิใช่เป็นโทษหลักหรือโทษเสริมตามประมวล
                 กฎหมายอาญา จึงมีข้อน่าพิจารณาตามหัวข้อถัดไปว่าการปรับใช้มาตรการหรือโทษอุปกรณ์แก่คดี

                 จะต้องสอดคล้องกับการลงโทษทางอาญาในคดีนั้น ๆ ทุกกรณีหรือไม่

                            ๒.๑ วตถุประสงค์การลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญากับโทษอปกรณ์
                                  ั
                                                                                       ุ
                            กฎหมายอาญาคือกฎหมายที่บัญญัติห้ามมิให้มีการกระท าอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือบังคับ
                 ให้มีการกระท าอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยผู้ที่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามจะต้องรับโทษตามที่กฎหมายบัญญัต ิ

                                                                       ๑๖
                 ไว้ในการลงโทษผู้กระท าความผิดนั้น มีวัตถุประสงค์ส าคัญ ดังนี้
                            (๑) เพอทดแทนให้สาสมกับความผิด (Retribution)
                                  ื่



                            ๑๖  รองศาสตราจารย์ ดร.ทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ, ค าอธิบายกฎหมายอาญา ภาคทั่วไป, พิมพ์ครั้งที่ ๑๓,
                 หน้า ๒๐๙ – ๒๑๑.
   787   788   789   790   791   792   793   794   795   796   797