Page 786 - บทความทางวิชาการหลักสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล รุ่นที่ 21
P. 786
๗๗๔
ื
อุปกรณ์ตามมาตรา ๓๑ วรรคสาม เป็นมาตรการบังคับทางอาญาอ่น มิใช่ลักษณะโทษดังที่บัญญัติไว ้
ตามประมวลกฎหมายอาญา แต่ผู้ร่างกฎหมายบัญญัติรวมไว้เป็นส่วนหนึ่งในคดีอาญา และบทบัญญัต ิ
ว่าด้วยโทษอุปกรณ์ตามมาตรา ๓๑ วรรคสาม สามารถน าไปปรับใช้แก่จ าเลยในคดีซึ่งยังเป็นผู้ยึดถือ
ื
หรือครอบครองป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่มีสิทธิหรือได้รับยกเว้นตามกฎหมายเพ่อให้เป็นไปตาม
เจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ แม้ศาลมีค าพิพากษายกฟ้องโจทก์ว่า
ิ
จ าเลยไม่ได้กระท าความผิดตามฟ้องก็ตาม และตั้งข้อสังเกตเพ่อเสนอแนะให้แก้ไขเพ่มเติมบทบัญญัต ิ
ื
ื
แห่งมาตรา ๓๑ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ ให้ชัดเจนยิ่งขึ้นเพ่อ
ขจัดการตีความกฎหมายให้แตกต่าง อันจะท าให้ค าพิพากษาของศาลยุติธรรมมีความเป็นเอกภาพ
ต่อไป
๑. แนวคิดว่าด้วยโทษและมาตรการบังคับทางอาญาอื่น
ุ
ในอดีตประเทศไทยอดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติประเภทต่าง ๆ มากมาย แต่ช่วงเวลา
เกือบศตวรรษที่ผ่านมา ได้มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของประเทศ
หลายประการ เนื่องจากการเพ่มของจ านวนประชากร การพัฒนาทางเศรษฐกิจและความมั่นคง
ิ
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ความยากจน การไม่รวมต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมในการผลิตหรือการท า
กิจกรรม ฯลฯ ซึ่งผู้เขียนขอกล่าวถึงผลกระทบต่อป่าไม้ ซึ่งมีผลท าให้จ านวนเนื้อที่ป่าไม้ของประเทศ
ไทยได้ลดลงอย่างมาก รัฐบาลซึ่งจัดท าแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่หนึ่ง ได้
ตระหนักถึงข้อดังกล่าวว่าก าลังเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมส าคัญส าหรับสังคมไทย การก าหนดกรอบ
แนวทางด าเนินงานเกี่ยวกับพัฒนาการด้านเกษตรกรรม ในส่วนการป่าไม้และการจัดสรรที่ดินได้ม ี
เป้าหมายให้สงวนป่าไม้ไว้เป็นสมบัติของชาติเป็นเนื้อที่ครึ่งหนึ่งของเนื้อที่ประเทศทั้งหมดหรือ
ประมาณ ๑๖๐ ล้านไร่ โดยอาจลดเหลือร้อยละ ๔๐ ในอนาคตข้างหน้าเป็นอย่างต่ าที่สุด และให้
กฎหมายเกี่ยวกับที่ดินและป่าไม้ได้รับการปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมกับสภาพกาล เป็นต้นว่า แก้ไข
พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ โดยเพ่มโทษผู้ละเมิดให้หนักกว่าเดิม รวมถึงแก้ไขพระราชบัญญัต ิ
ิ
ื
คุ้มครองและสงวนป่า พ.ศ. ๒๔๘๑ เพ่อห้ามมิให้บุกรุกที่ดินของรัฐอย่างเข็มแข็ง กระทั่งต่อมามีการ
ประกาศบังคับใช้พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ โดยหมายเหตุท้ายพระราชบัญญัต ิ
กล่าวไว้ประการหนึ่งว่า เนื่องจากกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองและสงวนป่าที่ใช้บังคับอยู่ มีวิธีการไม ่
รัดกุมเหมาะสม จ าเป็นรีบด่วนที่จะต้องด าเนินการปรับปรุงกฎหมายเรื่องนี้เสียใหม่ เพ่อให้สามารถ
ื
ด าเนินการคุ้มครองป้องกันเพ่อรักษาไว้ซึ่งทรัพยากรธรรมชาติอันมีค่าของชาติถูกกระทบกระเทือน
ื
จากผลของการท าลายป่าแต่ปรากฏว่าการบังคับใช้กฎหมายแก่ผู้ฝ่าฝืนพระราชบัญญัติป่าสงวน
แห่งชาติฯ ยังมิได้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ดังจะเห็นได้จากหมายเหตุท้ายพระราชบัญญัติป่าสงวน
แห่งชาติ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๙ ที่กล่าวถึงสภาพการณ์ที่ยังมีการท าลายหรือเป็นเหตุให้เกิดการ
ท าลายหรือท าให้สูญหายหรือเสียหายแก่ทรัพยากรธรรมชาติในเขตป่าสงวนแห่งชาติมากขึ้น และใน
ส่วนของศาลยุติธรรมถือเป็นสถาบันปรับใช้กฎหมายดังกล่าว ก็ย่อมมีบทบาทส าคัญที่จะต้องใช้