Page 967 - บทความทางวิชาการหลักสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล รุ่นที่ 21
P. 967
๙๕๕
ิ
โดยพจารณาจากความน่าเชื่อถือและความสมเหตุสมผลของค าเบิกความพยาน และเมื่อการวินิจฉัย
ื้
ิ
พยานหลักฐานในชั้นรื้อฟนคดีมีความส าคัญอย่างมากเพราะอาจมีผลเป็นการกลับค าพพากษาถึงที่สุดของศาล
ิ
ี
ซึ่งต้องถือว่าศาลได้พจารณาพพากษาคดีเดิมโดยละเอยดรอบคอบและเห็นว่าจ าเลยเป็นผู้กระท าความผิด
ิ
โดยปราศจากข้อสงสัยตามประมวลกฎหมายวิธีพจารณาความอาญา มาตรา ๒๒๗ แล้ว ประกอบกับมี
ิ
โอกาสที่จ าเลยจะจัดหาพยานหลักฐานใหม่อนเป็นเท็จมาขอรื้อฟนคดีได้ ศาลจึงต้องวินิจฉัยชั่งน้ าหนัก
ื้
ั
พยานหลักฐานในชั้นนี้ด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง หากปรากฏข้อบกพร่องที่กระทบถึงความน่าเชื่อถือ
ของพยานหลักฐานดังกล่าวแม้เพียงส่วนใดส่วนหนึ่งก็มแนวโน้มที่ศาลจะใช้ดุลพินิจรับฟังพยานหลักฐานที่มี
ี
ิ
ข้อพรุธนั้นอย่างเคร่งครัดไปในทางที่ว่าพยานหลักฐานใหม่ไม่มีน้ าหนัก หักล้างพยานหลักฐานเดิมที่ศาล
รับฟงลงโทษจ าเลย กรณีจึงเป็นการยากที่การขอรื้อฟนคดีอาญาขึ้นพจารณาใหม่ภายใต้บทบัญญัติของ
ื้
ั
ิ
กฎหมายปัจจุบันจะประสบความส าเร็จได้
ี
๔. การก าหนดเงื่อนไขของคดีที่จะสามารถรื้อฟนไว้อย่างเคร่งครัด ท าให้คดีอกหลายประเภทที่
ื้
ื้
เกิดจากความผิดพลาดในกระบวนการยุติธรรม ไม่อาจถูกรื้อฟนขึ้นพิจารณาใหม่ได้ เช่น คดีที่ศาลพพากษา
ิ
ยกฟอง เนื่องจากเงื่อนไขตามมาตรา 5 ก าหนดว่า คดีที่จะรื้อฟนขึ้นพจารณาใหม่ได้ ต้องเป็นคดีที่จ าเลย
้
ื้
ิ
่
้
ต้องรับโทษ ดังนั้น หากคดีใดที่ศาลพิพากษายกฟอง ปล่อยตัวจ าเลยไปโดยไมลงโทษ แม้จะปรากฏหลักฐาน
ใหม่ขึ้นภายหลังว่าจ าเลยกระท าความผิดอย่างชัดแจ้ง หรือปรากฏว่าค าพพากษายกฟองนั้นเกิดจาก
ิ
้
ื่
ี
พยานหลักฐานอันเป็นเท็จ ก็ไม่อาจน าตัวจ าเลยกลับมาพิจารณาคดีใหม่อกครั้งเพอให้จ าเลยต้องรับโทษได้
ื้
๕. คดีที่มีหลักฐานใหม่ ท าให้จ าเลยได้รับโทษน้อยลง ขอรื้อฟนขึ้นพจารณาใหม่ไม่ได้ เนื่องจาก
ิ
ื้
เงื่อนไขตามมาตรา 5 ก าหนดว่า การขอรื้อฟนคดีขึ้นพจารณาใหม่ต้องพบว่า มีหลักฐานใหม่ที่พสูจน์ได้ว่า
ิ
ิ
จ าเลย “ไม่ได้กระท าความผิด” เท่านั้น แต่ในความเป็นจริง บางกรณีอาจเป็นการพบหลักฐานใหม่ที่ไม่ได้
ิ
ิ
จะพสูจน์ว่าจ าเลยไม่ได้กระท าความผิดเสียเลย แต่อาจเป็นหลักฐานใหม่ที่พสูจน์ได้ว่า จ าเลยควรจะได้รับ
โทษน้อยลง ตัวอย่างเช่น หากพบหลักฐานใหม่ว่า ขณะกระท าความผิดจ าเลยท าไปเพราะบันดาลโทสะ
อารมณ์ชั่ววูบ หรือ หากแพทย์ตรวจพบภายหลังว่าจ าเลยมีอาการป่วยทางจิตและกระท าความผิดไปโดย
ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ซึ่งเป็นเหตุให้ศาลลดโทษลงเหลือน้อยเพียงใดก็ได้
๖. คดีที่ตัดสินผิดพลาด เพราะผู้พิพากษาทุจริต ขอรื้อฟื้นขึ้นพิจารณาใหม่ไม่ได้ เนื่องจากเงื่อนไข
ื้
ิ
ตามมาตรา 5 ก าหนดว่า การขอรื้อฟนคดีขึ้นพจารณาใหม่ต้องพบว่า มีพยานเบิกความเท็จหรือมีการใช้
ิ
ิ
หลักฐานเท็จ แต่ไม่มีเงื่อนไขกรณีที่ผู้พพากษาทุกจริต ดังนั้น หากเป็นกรณีที่ผู้พพากษาตัดสินคดีโดยทุจริต
ิ
ิ
ให้จ าเลยต้องได้รับโทษโดยไม่ได้กระท าความผิด แม้จะมีการพสูจน์ได้ภายหลังว่าค าพพากษานั้นเกิดจาก
การทุจริตและผู้พิพากษาที่ตัดสินคดีได้รับโทษแล้ว ก็ยังไม่สามารถรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ได้
ิ
๗. คดีที่ตัดสินผิดพลาดในการตีความข้อกฎหมาย ขอรื้อฟนขึ้นพจารณาใหม่ไม่ได้ เนื่องจาก
ื้
เงื่อนไขตามมาตรา 5 ก าหนดว่า การขอรื้อฟนคดีขึ้นพจารณาใหม่ต้องพบว่า มีพยานเบิกความเท็จหรือมี
ิ
ื้
ื้
ิ
ื่
การใช้หลักฐานเท็จ หรือมีพยานหลักฐานใหม่ปรากฏขึ้น ซึ่งล้วนเป็นการขอรื้อฟนคดีเพอพสูจน์ในทาง
ข้อเท็จจริงทั้งสิ้น ว่าข้อเท็จจริงคดีนั้นๆ เกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ในการต่อสู้คดียังมีปัญหาการตีความกฎหมาย
รวมอยู่ด้วย บางกรณีเป็นไปได้ว่า ข้อเท็จจริงทั้งหมดอาจจะถูกน าเสนออย่างครบแล้วโดยไม่มีพยานเท็จ
หรือหลักฐานเท็จ แต่ผู้พิพากษากลับตีความกฎหมายผิดพลาดไปท าให้จ าเลยต้องรับโทษโดยไม่สมควร
ิ
ื้
จากปัญหาที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นได้ว่า พระราชบัญญัติการรื้อฟนคดีอาญาขึ้นพจารณาใหม่
ิ
ื้
พ.ศ. ๒๕๒๖ ตั้งอยู่บนพนฐานความคิดที่เชื่อถือในตัวผู้พพากษาว่าจะตัดสินข้อกฎหมายอย่างถูกต้อง
เที่ยงธรรม ไม่ทุจริต ไม่ผิดพลาด และกระบวนการยุติธรรมตามระบบปกติเปิดโอกาสให้คู่ความได้น าเสนอ
ข้อต่อสู้ของตัวเองอย่างเต็มที่ แต่ทว่าในความเป็นจริงยังมีความเป็นไปได้อกหลายกรณีที่ความผิดพลาดใน
ี

