Page 964 - บทความทางวิชาการหลักสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล รุ่นที่ 21
P. 964
๙๕๒
๑๒
ค าพิพากษาศาลฎีกาที่ 3863/2552 ผู้ร้องเป็นสามีจ าเลยที่ 1 แต่จ าเลยที่ 1 ยังมีชีวิตอยู่
ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิยื่นค าร้องขอให้รื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่แทนจ าเลยที่ 1 ตามพระราชบัญญัติการ
รื้อฟื้นคดีอาญาขั้นพิจารณาใหม่ พ.ศ. 2526 มาตรา 6 (4)
ิ
พระราชบัญญัติการรื้อฟนคดีอาญาขึ้นพจารณาคดีใหม่ พ.ศ. 2526 มาตรา 13 (2) เป็น
ื้
ิ
ิ
ื้
บทบัญญัติที่ใช้บังคับส าหรับในชั้นพจารณาคดีที่รื้อฟนขึ้นพจารณาใหม่ มิได้น ามาใช้ในชั้นไต่สวนค าร้องว่า
ื้
คดีมีมูลพอที่จะรื้อฟนคดีขึ้นพจารณาใหม่หรือไม่ การมีค าสั่งว่าค าร้องของผู้ร้องมีมูลพอที่จะรื้อฟนขึ้น
ื้
ิ
พิจารณาใหม่หรือไม่จึงเป็นอ านาจของศาลอทธรณ์
ุ
๑๓
ค าพิพากษาศาลฎีกาที่ 4112/2556 ตามพระราชบัญญัติการรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณา
ใหม่ พ.ศ.2526 มาตรา 8 เมื่อผู้ร้องยื่นค าร้องต่อศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นต้องไต่สวนค าร้องแล้วส่งส านวน
ื่
ุ
การไต่สวนพร้อมความเห็นไปยังศาลอทธรณ์เพอพจารณาว่าจะสั่งรับค าร้องนั้นไว้เพอด าเนินการพจารณา
ิ
ิ
ื่
คดีนั้นใหม่หรือไม่ตามมาตรา 9 ซึ่งในการพจารณาสั่งค าร้องนั้น มาตรา 10 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “...ถ้า
ิ
ุ
ุ
ศาลอทธรณ์เห็นว่าค าร้องนั้นไม่มีมูล ให้ศาลอทธรณ์มีค าสั่งยกค าร้องนั้น” และวรรคสองบัญญัติว่า “ค าสั่ง
ุ
ุ
ของศาลอทธรณ์ตามวรรคหนึ่งให้เป็นที่สุด” ดังนั้น ที่ศาลอทธรณ์วินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่ผู้ร้องหยิบยกขึ้น
้
อางล้วนแต่ประกอบด้วยพยานหลักฐานเดิมที่มีอยู่ก่อนและศาลได้วินิจฉัยชั่งน้ าหนักในคดีถึงที่สุดนั้นแล้ว
ั
ทั้งสิ้นหาใช่เป็นพยานหลักฐานใหม่อนขัดแย้งและส าคัญแก่คดีไม่ เหตุตามค าร้องจึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ตาม
ื้
พระราชบัญญัติการรื้อฟนคดีอาญาขึ้นพจารณาคดีใหม่ พ.ศ. 2526 มาตรา 5 (1) (2) (3) เท่ากับเห็นว่า
ิ
ิ
ุ
ค าร้องของผู้ร้องไม่มีมูล ค าพพากษาศาลอทธรณ์ที่ให้ยกค าร้องของผู้ร้องย่อมเป็นที่สุดตามมาตรา 10
วรรคสอง ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิฎีกา
ิ
ื้
ค าพิพากษาศาลฎีกาที่ 4088/2546 ตามพระราชบัญญัติการรื้อฟนคดีอาญาขึ้นพจารณา
๑๔
ั
ใหม่ พ.ศ. 2526 มาตรา 9 และมาตรา 10 เฉพาะกรณีที่พนักงานอยการซึ่งเป็นบุคคลตามมาตรา 6 (5)
ิ
ิ
เป็นผู้ร้องขอรื้อฟนคดีขึ้นพจารณาพพากษาใหม่เท่านั้น ที่ศาลชั้นต้นจะมีอานาจพจารณาสั่งค าร้องได้
ื้
ิ
แต่หากเป็นบุคคลตามมาตรา 6 (1) ถึง (4) เป็นผู้ร้องศาลชั้นต้นไม่มีอานาจที่จะสั่งรับค าร้องให้ด าเนินคดี
ที่รื้อฟนขึ้นพจารณาใหม่หรือยกค าร้องเลย ศาลชั้นต้นมีหน้าที่ด าเนินการตามมาตรา 9 วรรคสอง ท าการ
ิ
ื้
ไต่สวนค าร้อง หรือหากเห็นว่าค าร้องของผู้ร้องไม่ชอบด้วยมาตรา 5 จะไม่ท าการไต่สวนก็ได้ แต่ศาลชั้นต้น
ุ
ิ
มีสิทธิเพียงท าความเห็นเสนอส านวนการไต่สวนไปให้ศาลอทธรณ์พจารณาเท่านั้น และเป็นอ านาจของศาล
อุทธรณ์ที่จะมีค าสั่ง การที่ศาลชั้นต้นสั่งยกค าร้องขอให้รื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ของผู้ร้องซึ่งเป็นจ าเลยโดย
ุ
ุ
ุ
มิได้ท าความเห็นส่งไปให้ศาลอทธรณ์มีค าสั่ง และเมื่อผู้ร้องอทธรณ์ค าสั่งของศาลชั้นต้นแล้วศาลอทธรณ์
พิพากษาเห็นด้วยในผลที่ให้ยกค าร้องของผู้ร้อง ย่อมถือว่าศาลล่างทั้งสองด าเนินกระบวนพิจารณาเกี่ยวกับ
ค าร้องของผู้ร้องโดยไม่ชอบตามมาตรา 9 และมาตรา 10
๑๒ เนติบัณฑิตยสภา. (๒๕๕๒). ค ำพิพำกษำศำลฎีกำที่ 3863/2552. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก :
https://deka.in.th/view-502391.html. (วันทค้นข้อมูล : ๒๕๖๔, ๑๐ สิงหาคม).
ี่
๑๓ กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา. (๒๕๕๖). ค ำพิพำกษำศำลฎีกำที่ 4112/2556. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก :
https://deka.in.th/view-555025.html. (วันที่ค้นข้อมูล : ๒๕๖๔, ๑๐ สิงหาคม).
๑๔ กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา. (๒๕๔๖). ค ำพิพำกษำศำลฎีกำที่ 4088/2546. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก :
https://deka.in.th/view-111377.html. (วันที่ค้นข้อมูล : ๒๕๖๔, ๑๐ สิงหาคม).

