Page 963 - บทความทางวิชาการหลักสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล รุ่นที่ 21
P. 963
๙๕๑
้
ื้
ของผู้ร้องอางเหตุตาม พระราชบัญญัติการรื้อฟนคดีอาญาขึ้นพจารณาใหม่ พ.ศ. 2525 มาตรา 5 (3)
ิ
ั
ั
แต่มิได้อางเหตุโดยละเอยดชัดแจ้งตามมาตรา 8 จึงฟงไม่ได้ว่าผู้ร้องมีพยานหลักฐานใหม่อนชัดแจ้งและ
้
ี
ส าคัญแก่คดี ค าร้องขอของผู้ร้องจึงไม่มีมูล ศาลชอบที่จะมีค าสั่งยกค าร้องของผู้ร้องได้โดยไม่ต้องท าการ
ุ
ุ
ไต่สวน แต่ศาลชั้นต้นมีค าสั่งยกค าร้องของผู้ร้องโดยมิได้ท าความเห็นไปยังศาลอทธรณ์เพอให้ศาลอทธรณ์
ื่
ิ
ุ
มีค าสั่งและศาลอทธรณ์พพากษายืน ย่อมไม่ชอบด้วย มาตรา 10 เพราะอานาจในการมีค าสั่งตามค าร้อง
ุ
ในคดีเป็นของศาลอทธรณ์ แต่เมื่อคดีได้ขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้ว ศาลฎีกาย่อมมีอ านาจที่จะมี
ค าสั่งยกค าร้องของผู้ร้องได้โดยไม่ต้องย้อนส านวนไปให้ศาลอุทธรณ์มีค าสั่งใหม่
ค าพิพากษาศาลฎีกาที่ 15189/2558 พระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพอเกษตรกรรม
๑๑
ื่
พ.ศ.2518 มาตรา 26 บัญญัติว่า “เมื่อได้มีพระราชกฤษฎีกาก าหนดเขตปฏิรูปที่ดินใช้บังคับในท้องที่ใด
แล้ว (4) ถ้าเป็นที่ดินในเขตป่าสงวนแห่งชาติ เมื่อคณะรัฐมนตรีมีมติให้ด าเนินการปฏิรูปที่ดินเพอ
ื่
เกษตรกรรมในที่ดินเขตป่าสงวนแห่งชาติส่วนใดแล้ว เมื่อ ส.ป.ก. จะน าที่ดินแปลงใดในส่วนนั้นไป
ด าเนินการปฏิรูปที่ดินเพอเกษตรกรรม ให้พระราชกฤษฎีกาก าหนดเขตปฏิรูปที่ดินมีผลเป็นการเพิกถอนป่า
ื่
สงวนแห่งชาติในที่ดินแปลงนั้น...” แม้ปรากฏว่ามี พระราชกฤษฎีกาก าหนดเขตที่ดินในท้องที่อาเภอบ้าน
ุ
แพง อาเภอท่าอเทน และกิ่งอาเภอโพนสวรรค์ อาเภอท่าอเทน จังหวัดนครพนม ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน
ุ
พ.ศ. 2534 ก็ตาม แต่พระราชกฤษฎีกาก าหนดเขตปฏิรูปที่ดินดังกล่าวเป็นเพยงการก าหนดขอบเขตของ
ี
ื้
ที่ดินที่จะท าการปฏิรูปที่ดินเท่านั้น ไม่ได้มีผลเป็นการเพกถอนป่าสงวนแห่งชาติในทันที พนที่ป่าสงวน
ิ
แห่งชาติยังคงเป็นพนที่ป่าสงวนแห่งชาติอยู่เช่นเดิม จนกว่าจะได้มีการส่งมอบพนที่ให้แก่คณะกรรมการ
ื้
ื้
ปฏิรูปที่ดินเพอด าเนินการจัดสรรที่ดินให้แก่ผู้ได้รับอนุญาตตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กฎหมายก าหนด
ื่
ต่อไป หากจะถือว่าการประกาศ พระราชกฤษฎีกาก าหนดเขตปฏิรูปที่ดินเพอเกษตรกรรมในที่ดินแปลงใด
ื่
ิ
มีผลเป็นการเพกถอนสภาพป่าสงวนแห่งชาติในทันที ก็จะเป็นการส่งเสริมให้บุคคลใด ๆ บุกรุกเข้ามาท า
ประโยชน์หรือเข้าครอบครองที่ป่าสงวนแห่งชาติโดยไม่มีความผิดตาม พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ
ั
พ.ศ. 2507 อนจะเป็นช่องว่างของกฎหมาย บทบัญญัตินี้จึงมุ่งหมายให้ ส.ป.ก. เข้าไปด าเนินการปฏิรูป
ิ
ื่
ื้
ที่ดินเพอเกษตรกรกรรมในพนที่ป่านั้นและจัดสรรให้ผู้ได้รับอนุญาตก่อน จึงจะถือเป็นการเพกถอนสภาพ
ื่
ป่าสงวนแห่งชาติ ทั้งนี้ เพอเป็นการคุ้มครองทรัพยากรธรรมชาติและที่ดินของรัฐ เมื่อคณะกรรมการปฏิรูป
ที่ดินจังหวัดนครพนมได้ออกประกาศให้เกษตรกรยื่นค าร้องขอเข้าท าประโยชน์ในที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน
เกิดเหตุหลังจากที่ผู้ร้องถูกด าเนินคดีนี้แล้ว ดังนั้น ในขณะที่ผู้ร้องกระท าความผิดคดีนี้ ผู้ร้องจึงยังไม่เป็น
ผู้ได้รับอนุญาตให้เข้าท าประโยชน์ในที่ดินเกิดเหตุ การจัดสรรที่ดินเพอการปฏิรูปที่ดินยังไม่เสร็จสิ้น ที่ดิน
ื่
เกิดเหตุจึงยังมีสภาพเป็นที่ป่าสงวนแห่งชาติอยู่ การกระท าของผู้ร้องจึงเป็นความผิดตาม พระราชบัญญัติ
ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. 2507 มาตรา 14, 31 วรรคหนึ่ง แม้ต่อมาผู้ร้องจะได้รับอนุญาตให้เข้าท า
ประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินซึ่งรวมถึงที่ดินเกิดเหตุ ก็เป็นเพียงท าให้การครอบครองท าประโยชน์ในที่ดินของ
ผู้ร้องนับแต่วันที่ได้รับอนุญาตไม่เป็นความผิดต่อกฎหมาย แต่ไม่มีผลเป็นการลบล้างการกระท าความผิด
ก่อนหน้าที่ผู้ร้องจะได้รับอนุญาต กรณีหาใช่เป็นเรื่องมีกฎหมายที่บัญญัติในภายหลังท าให้การกระท าของ
ผู้ร้องไม่เป็นความผิดต่อไปตาม ป.อ. มาตรา 2 วรรคสอง
๑๑ กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา. (๒๕๕๘). ค ำพิพำกษำศำลฎีกำที่ 15189/2558. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก :
ี่
https://deka.in.th/view-593244.html. (วันทค้นข้อมูล : ๒๕๖๔, ๑๐ สิงหาคม).

