Page 966 - บทความทางวิชาการหลักสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล รุ่นที่ 21
P. 966
๙๕๔
ั
ื่
จากการที่นาง จ. ผู้ร้องกับพวกได้ร่วมกนสร้างพยานหลักฐานเท็จเพอน ามาเบิกความต่อศาลในคดี
ยื่นค าร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ดังกล่าว จึงเป็นเหตุให้นาง จ. กับพวกรวม ๘ คน ถูกด าเนินคดีฐานความผิด
ั
ั
รวม 4 ข้อหา คือ ร่วมกันแจ้งข้อความอนเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ฐานร่วมกันแจ้งข้อความอนเป็นเท็จ
เกี่ยวกับความผิดอาญาแก่พนักงานสอบสวนฯ และฐานร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระท าการตามหน้าที่
จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ส าหรับใช้เป็นพยานหลักฐานฯ ฐานเบิกความ
ั
้
ั
อนเป็นเท็จในการพจารณาคดีอาญาต่อศาล ฐานซ่องโจร พนักงานอยการจังหวัดนครพนมเป็นโจทก์ฟอง
ิ
ิ
จ าเลยกับพวกรวม 8 คน โดยเมื่อวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๑ ศาลจังหวัดนครพนมมีค าพพากษาว่า จ าเลย
ั
กับพวกรวม ๘ คน มีความผิดฐานร่วมกันแจ้งข้อความอนเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน ฐานร่วมกันแจ้งข้อความ
ั
อนเป็นเท็จเกี่ยวกับความผิดอาญาแก่พนักงานสอบสวนฯ และฐานร่วมกันแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระท าการ
ตามหน้าที่จดข้อความอนเป็นเท็จลงในเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์ส าหรับใช้เป็นพยานหลักฐานฯ
ั
ั
ิ่
ิ
ฐานเบิกความอนเป็นเท็จในการพจารณาคดีอาญาต่อศาล ฐานซ่องโจร เพมโทษ หนึ่งในสามตามประมวล
กฎหมายอาญา มาตรา 92 เฉพาะฐานเบิกความอันเป็นเท็จในการพิจารณาคดีอาญาต่อศาล
ข้อส าคัญที่จ าเลยพึงตระหนักในการขอรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจาณาใหม ่
ื้
เมื่อพจารณาบทบัญญัติในพระราชบัญญัติการรื้อฟนคดีอาญาขึ้นพจารณาใหม่ พ.ศ. ๒๕๒๖
ิ
ิ
และแนวค าวินิจฉัยในเรื่องการขอรื้นฟื้นคดีอาญาของศาลฎีกาข้างต้นแล้วอาจกล่าวได้ว่า ปัญหาอปสรรคท ี่
ุ
ท าให้การรื้อฟื้นคดีอาญาไม่ประสบความส าเร็จ และมีข้อส าคัญที่จ าเลยพึงตระหนักดังนี้
๑. พยานหลักฐานใหม่ซึ่งแสดงว่าจ าเลยไม่ได้กระท าความผิด ตามพระราชบัญญัติการรื้อฟนคดีอาญา
ื้
ิ
ขึ้นพจารณาใหม่ พ.ศ. ๒๕๒๖ มาตรา ๕ (๓) ไม่ได้ก าหนดความหมายของค าว่า “พยานหลักฐานใหม่” ไว้
แต่ศาลฎีกาได้วางแนวทางการวินิจฉัยพยานหลักฐานใหม่ตามบทบัญญัติดังกล่าวไว้อย่างเคร่งครัดว่า
หมายถึง พยานหลักฐานที่ยังไม่เคยปรากฏอยู่ในส านวนคดีเดิมที่จ าเลยอ้างเป็นเหตุขอให้รื้อฟื้นคดีอาญาขึ้น
พจารณาใหม่ และไม่รวมถึงการกลับค าให้การของพยานในคดีเดิม นอกจากนี้ต้องเป็นพยานหลักฐาน
ิ
ที่จ าเลยไม่รู้หรือไม่มีเหตุอนควรรู้ว่า พยานหลักฐานดังกล่าวนั้นมีอยู่และจะต้องน ามาแสดงเพอประโยชน์
ื่
ั
ของตน (เทียบค าพพากษาศาลฎีกาที่ ๖๕๕๕/๒๕๔๘ และ ๗๖๑๔/๒๕๖๐) พยานหลักฐานอนนอกจากที่
ื่
ิ
กล่าวไม่ถือว่าเป็นพยานหลักฐานใหม่ ไม่ว่าจะเป็นพยานหลักฐานที่น่าเชื่อถือและแสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้ง
ี
ิ
ว่าจ าเลยไม่ได้กระท าความผิดเพยงใดก็ตาม ประกอบกับสาเหตุประการหนึ่งที่ท าให้ศาลพพากษาลงโทษ
ื่
จ าเลยผู้บริสุทธิ์คือความไม่มีประสิทธิภาพของทนายจ าเลย ทั้งในเรื่องการถามค้านเพอท าลายน้ าหนัก
พยานโจทก์และการเสนอพยานหลักฐานของจ าเลยต่อศาล กรณีจึงเป็นการยากล าบากอย่างยิ่งที่จ าเลยจะมี
พยานหลักฐานใหม่ตามแนวค าวินิจฉัยของศาลฎีกามาแสดงว่าจ าเลยไม่ได้กระท าความผิด
ิ
ื้
ื้
๒. พระราชบัญญัติการรื้อฟนคดีอาญาขึ้นพจารณาใหม่ พ.ศ. ๒๕๒๖ ก าหนดเหตุที่จะขอรื้อฟน
คดีไว้เฉพาะกรณีที่มีพยานหลักฐานใหม่เท่านั้น ซึ่งในกรณีที่จ าเลยอางว่าพยานหลักฐานซึ่งศาลได้อาศัย
้
ิ
เป็นหลักในการพพากษาลงโทษจ าเลยเป็นเท็จตามมาตรา ๕ (๑) และ (๒) ก็ต้องปรากฏว่ามีค าพพากษา
ิ
ถึงที่สุดในภายหลังแสดงว่าเป็นพยานหลักฐานเท็จหรือไม่ถูกต้องตรงกับความจริง จึงเป็นภาระแก่จ าเลยที่
ิ
จะต้องด าเนินคดีกับบุคคลที่เกี่ยวข้องจนศาลมีคาพพากษาถึงที่สุดก่อน จึงจะน าค าพิพากษาดังกล่าวมาเป็น
หลักฐานในการขอรื้อฟนคดีได้ (เทียบค าพพากษาศาลฎีกาที่ ๖๕๕๕/๒๕๔๘) ซึ่งเป็นเรื่องที่ยุ่งยากต้องใช้
ิ
ื้
เวลาและค่าใช้จ่ายมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากจ าเลยมีฐานะยากจนและต้องถูกจ าคุกในเรือนจ า โดยไม่มี
บุคคลที่จะช่วยเหลือด าเนินการในเรื่องนี้แทน
้
๓. พยานหลักฐานที่จ าเลยอางเป็นพยานหลักฐานใหม่ ต้องผ่านกระบวนการไต่สวนและพิจารณา
ี
ี
ิ
ของศาลอก ๒ ครั้ง และศาลต้องพเคราะห์พยานหลักฐานดังกล่าวว่ามีน้ าหนักน่ารับฟงหรือไม่เพยงใด
ั

