Page 194 - นิตยสารดุลพาห เล่มที่ ๒-๒๕๖๑-กฎหมาย
P. 194
ดุลพาห
การฟ้องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาจะฟ้องต่อศาลซึ่งพิจารณาคดีอาญา หรือ
ต่อศาลที่มีอำานาจชำาระคดีแพ่งก็ได้ ในกรณีที่นำามาฟ้องต่อศาลที่มีอำานาจชำาระคดีแพ่ง
เป็นคดีต่างหาก ในการพิพากษาคดีแพ่งศาลต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำาพิพากษา
คดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๔๖ ซึ่งจะต้องประกอบ
ด้วยหลักเกณฑ์ ๓ ประการ
คำ�พิพ�กษ�ศ�ลฎีก�ที่ ๔๐๒๑/๒๕๖๐
การจะนำาข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำาพิพากษาคดีส่วนอาญามารับฟังในคดี
ส่วนแพ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๔๖ นั้น จะต้องประกอบ
ด้วยหลักเกณฑ์ ๓ ประการ คือ คำาพิพากษาคดีส่วนอาญาต้องถึงที่สุด ข้อเท็จจริงนั้นต้อง
เป็นประเด็นโดยตรงในคดีส่วนอาญาและคำาพิพากษาคดีส่วนอาญาต้องวินิจฉัยโดยชัดแจ้ง
มิใช่ประเด็นปลีกย่อย และผู้ที่จะถูกข้อเท็จจริงในคดีส่วนอาญาผูกพันต้องเป็นคู่ความในคดี
ส่วนอาญา
คำ�พิพ�กษ�ศ�ลฎีก�ที่ ๔๗๓๑/๒๕๕๙
ศาลชั้นต้นในคดีอาญาได้มีคำาพิพากษาถึงที่สุด โดยวินิจฉัยว่า การเข้าไปยึดถือ
ครอบครองที่ดินของรัฐอันผู้กระทำาจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๙ , ๑๐๘ ทวิ
นั้น ก็ต่อเมื่อบุคคลนั้นมิได้มีสิทธิครอบครองหรือมิได้รับอนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่
แต่คดีนี้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำาเลยเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทอยู่ก่อนแล้ว เกิดข้อพิพาทกันขึ้น
ระหว่างจำาเลยกับหน่วยงานของรัฐในภายหลังว่า สิทธิครอบครองของจำาเลยในส่วนที่ดิน
พิพาทนี้ยังอยู่แก่จำาเลย หรือว่าตกเป็นของแผ่นดินไปเสียแล้ว ทั้งเกี่ยวกับสิทธิเกี่ยวกับการ
ครอบครองที่ดินดังกล่าว ก็ยังไม่มีการดำาเนินคดีแพ่งพิสูจน์สิทธิในที่ดินพิพาทกันให้เสร็จ
เด็ดขาดว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์ การที่จำาเลยล้อมรั้ว และยังคงครอบครองอยู่
ในที่ดินพิพาทตลอดมา ในระหว่างที่เกิดโต้แย้งสิทธิกันอยู่เช่นนี้ การกระทำาของจำาเลยจึงไม่มี
เจตนาบุกรุก ไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา ๔, ๑๐๘ ทวิ จะเห็นได้ว่า
ในคดีอาญานั้น ยังไม่ได้วินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์คดีนี้หรือที่สาธารณสมบัติของ
แผ่นดิน เมื่อศาลชั้นต้นในคดีอาญายังไม่ได้วินิจฉัยโดยชัดแจ้งดังกล่าว ก็ไม่อาจนำาข้อเท็จจริง
จากคำาพิพากษาส่วนอาญามาผูกพันคดีนี้ได้
พฤษภาคม - สิงหาคม ๒๕๖๑ 183