Page 195 - นิตยสารดุลพาห เล่มที่ ๒-๒๕๖๑-กฎหมาย
P. 195

ดุลพาห




                     ในกรณีที่พนักงานอัยการฟ้องคดีอาญา ถือได้ว่าพนักงานอัยการฟ้องคดีแทน
            ผู้เสียหาย ไม่ว่าผู้เสียหายจะขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการหรือไม่ เมื่อศาลมี

            คำาพิพากษาคดีส่วนอาญาถึงที่สุด ผู้เสียหายซึ่งรวมถึงผู้มีอำานาจจัดการแทนผู้เสียหายย่อมถูก

            ข้อเท็จจริงในคดีอาญาผูกพันด้วย


            คำ�พิพ�กษ�ศ�ลฎีก�ที่ ๒๙๑๐/๒๕๔๐


                     คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
            มาตรา ๔๖ กำาหนดให้ศาลในคดีส่วนแพ่งจำาต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำาพิพากษาคดี

            ส่วนอาญา ปัญหานี้เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จำาเลยทั้งสาม

            จะไม่ได้ให้การในเรื่องนี้ไว้ ก็มีสิทธิยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
            ความแพ่ง มาตรา ๒๔๙ วรรคสอง โจทก์ทั้งสองเป็นบิดามารดาของ อ. ผู้ตายในคดีอาญา
            จึงต้องถือว่าพนักงานอัยการได้ดำาเนินคดีอาญาแทนโจทก์ทั้งสอง ข้อเท็จจริงในคดีอาญาย่อม

            มีผลผูกพันโจทก์ทั้งสองด้วย เมื่อคดีอาญาดังกล่าวศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษายืนให้ยกฟ้อง

            โจทก์ โดยเห็นว่าพยานหลักฐานที่โจทก์ในคดีอาญานำาสืบมายังไม่อาจรับฟังได้ว่าเหตุเกิด
            จากความประมาทของจำาเลยที่ ๑ ดังนั้น คดีนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา จำาต้องถือ
            ข้อเท็จจริงตามที่ยุติในคดีอาญา จำาเลยที่ ๑ ไม่ได้ขับรถยนต์โดยประมาท เมื่อจำาเลยที่ ๑ ซึ่ง

            กระทำาแทนจำาเลยที่ ๒ มิได้ประมาท  จำาเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน เมื่อ

            คดีนี้เป็นการฟ้องให้ชำาระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้แม้จำาเลยที่ ๓ ผู้รับประกันภัยจะมิได้ฎีกา
            ขึ้นมา ศาลฎีกาก็มีอำานาจพิพากษาให้มีผลไปถึงจำาเลยที่ ๓ ด้วยได้ตามประมวลกฎหมาย
            วิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๕ (๑) ประกอบด้วยมาตรา ๒๔๗



            คำ�พิพ�กษ�ศ�ลฎีก�ที่ ๙๘๖๖/๒๕๖๐


                     ผู้ตายเป็นผู้ที่ถูกทำาให้ถึงแก่ความตายจากการกระทำาความผิดอาญาของจำาเลย

            ที่ ๑ แม้พนักงานอัยการโจทก์จะบรรยายฟ้องมาด้วยว่าผู้ตายขับรถจักรยานยนต์ด้วยความ
            เร็วสูงเกินสมควรจนไม่สามารถหยุดหรือชะลอความเร็วของรถให้ช้าลงพอที่จะขับหลบหลีก
            ไม่ให้ชนรถคันอื่นที่จอดขวางอยู่ข้างหน้าได้ทัน ผู้ตายหาได้ใช้ความระมัดระวังในการขับรถ

            ให้เพียงพอไม่ เป็นเหตุให้รถชนท้ายรถยนต์ที่จอดอยู่ก็ตาม แต่เมื่อผู้ตายถึงแก่ความตาย

            ไปก่อน ไม่ถูกพนักงานอัยการฟ้องเป็นจำาเลยในคดีอาญาด้วย ข้อเท็จจริงจึงยังไม่พอฟังว่าผู้ตาย
            มีส่วนประมาทด้วย ผู้ตายจึงเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา


            184                                                              เล่มที่ ๒ ปีที่ ๖๕
   190   191   192   193   194   195   196   197   198   199   200