Page 212 - นิตยสารดุลพาห เล่มที่ ๒-๒๕๖๑-กฎหมาย
P. 212

ดุลพาห




               โดยชอบแล้ว แต่จำาเลยไม่มา และเมื่อมีการออกหมายจับและติดตามจำาเลยมาระยะหนึ่งแล้ว
               ยังจับตัวไม่ได้ ซึ่งหากเทียบเคียงกับคำาพิพากษาศาลสิทธิมนุษยชนยุโรปฉบับนี้แล้วจะเห็นได้ว่า

               ข้อเท็จจริงที่ว่ามีการส่งหมายให้จำาเลยโดยชอบตามกฎหมาย หรือจำาเลยไปจากภูมิลำาเนาและ

               เจ้าพนักงานติดตามตัวไม่ได้นั้น โดยลำาพังยังไม่อาจอนุมานได้ว่าจำาเลยจงใจหลีกเลี่ยงการ
               พิจารณาคดี แต่ต้องมีพฤติการณ์อื่นที่แสดงให้เห็นว่าจำาเลยทราบข้อกล่าวหาและกำาหนดนัด

               พิจารณาแล้วแต่จงใจไม่มา ดังนั้น แม้กฎหมายมาตรา ๒๘ จะบัญญัติว่าการพิจารณาคดีโดย
               ไม่มีตัวนี้ไม่ตัดสิทธิจำาเลยที่จะแต่งตั้งทนายความต่อสู้คดี แต่เมื่อเหตุอันเป็นเงื่อนไขของการ

               พิจารณาโดยไม่มีตัวยังไม่ชัดแจ้งว่าที่ติดตามจำาเลยไม่ได้เกิดจากจำาเลยจงใจไม่มาศาลจริงหรือ
               ไม่ ทั้งไม่ได้กำาหนดให้การมีทนายความเป็นเงื่อนไขของการสืบพยานไปฝ่ายเดียว หากจะให้

               กระบวนการสอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนก็มีความจำาเป็นต้องบัญญัติถึงหลักการเรื่องการ

                                                                                ๑๐
               รื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่เอาไว้ ซึ่งในกฎหมายฉบับนี้มีบัญญัติไว้ในมาตรา ๒๙ เช่นกัน แต่อาจ
               มีข้อโต้แย้งได้ว่ากฎหมายกำาหนดเงื่อนไขของการพิจารณาใหม่ไว้หลายประการ จนอาจ
               พิจารณาได้ว่าเป็นการกำาหนดมาตรการรื้อฟื้นที่ไม่อาจมีประสิทธิภาพจริงในทางปฏิบัติ เช่น

               ต้องมีพยานหลักฐานใหม่ที่อาจทำาให้ข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำาคัญ การต้องยื่น

               คำาร้องภายใน ๑ ปี นับแต่มีคำาพิพากษา โดยไม่นับเวลานับแต่จำาเลยทราบเรื่องที่ถูกฟ้อง
               หรือทราบคำาพิพากษาด้วยตนเอง เป็นต้น ซึ่งเมื่อพิจารณาจากบรรทัดฐานคำาวินิจฉัยใน

               คดีนี้ก็อาจต้องถือว่าการพิจารณาคดีโดยไม่มีตัวตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
               ฉบับนี้สุ่มเสี่ยงต่อการถูกกล่าวอ้างว่าขัดหลักสิทธิมนุษยชนเช่นกัน และอาจเป็นอุปสรรคใน

               การขอความร่วมมือในการส่งผู้ร้ายข้ามแดนจากประเทศในทวีปยุโรปดังเช่นที่ประเทศ
               อิตาลีประสบปัญหาในคดีนี้




               ๑๐. พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำารงตำาแหน่งทางการเมือง
                 พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๒๙ บัญญัติว่า ในคดีที่ศาลดำาเนินกระบวนพิจารณาตามมาตรา ๒๘ และมี
                 คำาพิพากษาว่าจำาเลยกระทำาความผิด  ถ้าภายหลังจำาเลยมีพยานหลักฐานใหม่ที่อาจทำาให้ข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลง
                 ไปในสาระสำาคัญ จำาเลยจะมาแสดงตนต่อศาลและยื่นคำาร้องต่อศาลเพื่อขอให้รื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ได้
                 แต่ต้องยื่นเสียภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่ศาลมีคำาพิพากษา และให้ศาลมีอำานาจสั่งรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ได้
                 ตามที่เห็นสมควร คำาสั่งของศาลในกรณีเช่นนี้ให้เป็นที่สุด
                      ในกรณีที่ศาลสั่งรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ ให้ดำาเนินการตามมาตรา ๑๑ แต่ผู้พิพากษาในองค์คณะ
                 ผู้พิพากษาต้องไม่เคยพิจารณาคดีนั้นมาก่อน
                      การรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ไม่มีผลให้การไต่สวนและการดำาเนินกระบวนพิจารณาที่ได้ทำาไปแล้ว
                 ต้องเสียไป
                      การดำาเนินการในการรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ ให้เป็นไปตามข้อกำาหนดของประธานศาลฎีกา.

               พฤษภาคม - สิงหาคม ๒๕๖๑                                                     201
   207   208   209   210   211   212   213   214   215   216   217