Page 208 - นิตยสารดุลพาห เล่มที่ ๒-๒๕๖๑-กฎหมาย
P. 208

ดุลพาห




               สิทธิแล้ว และแม้การสละสิทธิอาจสามารถอนุมานได้จากพฤติการณ์ก็ต้องมีพฤติการณ์ที่แสดง
               ให้เห็นว่าจำาเลยทราบถึงผลของการสละสิทธินั้น ประการสำาคัญคือจำาเลยที่ถูกพิจารณาคดี

               ลับหลังไม่มีภาระการพิสูจน์ว่าตนเองไม่มีเจตนาหลีกเลี่ยงกระบวนการยุติธรรมหรือการมา

               ศาลไม่ได้เป็นเพราะเหตุสุดวิสัย แต่เป็นหน้าที่ของฝ่ายรัฐที่ต้องพิจารณาจากพฤติการณ์หรือ
               หลักฐานเท่าที่ปรากฏว่าที่จำาเลยไม่มาศาลมีเหตุอันสมควรหรือไม่หรือที่ไม่มาศาลเป็นเหตุ

               ที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของจำาเลยหรือไม่

                        เกี่ยวกับสิทธิของผู้ถูกกล่าวหาที่จะได้รับทราบข้อกล่าวหานั้นเป็นสิทธิประการสำาคัญ

               และเป็นหลักประกันว่ากระบวนการที่จะมีต่อๆ ไปเป็นกระบวนการที่เป็นธรรม รวมไปถึงสิทธิ
               ที่จะได้รับการช่วยเหลือจากทนายความด้วย และการที่จำาเลยไม่ได้อยู่ร่วมในการพิจารณา

               ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีสิทธิในการให้ทนายความต่อสู้คดีแทนตนเอง โดยเป็นหน้าที่ศาลในการ
               ให้หลักประกันว่าทนายความทำาหน้าที่ต่อสู้คดีแทนจำาเลยอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ ประเทศสมาชิก

               มีอิสระในการดำาเนินการเกี่ยวกับสิทธิที่จะมีทนายความของจำาเลยที่ถูกพิจารณาคดีลับหลัง

                        หลังจากทบทวนหลักกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องแล้ว ศาลได้นำาหลักกฎหมายมา

               ปรับกับข้อเท็จจริงในคดีนี้ โดยเริ่มจากข้อเท็จจริงที่ว่าโจทก์ในคดีนี้ถูกดำาเนินคดีโดยไม่ปรากฏ

               ว่าตัวโจทก์ได้ทราบข้อกล่าวหาหรือวันนัดพิจารณาคดีแต่อย่างใด ซึ่งรัฐบาลอิตาลีโต้แย้งว่า
               โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับการพิจารณาคดีใหม่ เพราะมีพฤติการณ์หลีกเลี่ยงกระบวนการยุติธรรม

               กล่าวคือเมื่อรู้หรือสงสัยว่าตำารวจกำาลังต้องการตัวจึงหลบหนีไปจากภูมิลำาเนา ประเด็นจึงอยู่
               ที่ว่าการที่จำาเลยไปจากภูมิลำาเนานั้นจำาเลยรู้หรือควรรู้หรือไม่ว่าจะถูกดำาเนินคดี ซึ่งศาลเน้นยำ้า

               ว่าต้องมีพฤติการณ์ที่อนุมานได้โดยชัดแจ้ง เช่น ปรากฏว่าจำาเลยในคดีเคยพูดหรือเขียนว่า
               จะไม่ปฏิบัติตามหมายเรียกของเจ้าพนักงานหรือศาล หรือเคยหลบเลี่ยงการพยายามจับกุม

               ของเจ้าพนักงาน ซึ่งในคดีนี้ศาลเห็นว่าไม่ปรากฏพฤติการณ์ดังกล่าว ลำาพังข้อเท็จจริงที่ว่า

               โจทก์คดีนี้ไปจากภูมิลำาเนาปกติของตนไม่อาจอนุมานได้ว่าโจทก์รู้ว่าตนเองเป็นผู้ต้องสงสัย
               ในคดีนี้แล้วจงใจหลบหนีไป เพราะหากตีความเช่นนั้นย่อมขัดต่อหลักการสันนิษฐานว่าเป็นผู้

               บริสุทธิ์ (presumption of innocence)

                          เมื่อไม่ปรากฏพฤติการณ์ว่าโจทก์ในคดีนี้จงใจหลบหนีกระบวนการยุติธรรมหรือมี

               พฤติการณ์ที่แสดงออกว่าสละสิทธิที่จะเข้าร่วมการพิจารณา ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยประการต่อไป
               จึงมีว่ากฎหมายอิตาลีให้สิทธิอย่างแน่นอนแก่โจทก์คดีนี้ในการรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่





               พฤษภาคม - สิงหาคม ๒๕๖๑                                                    197
   203   204   205   206   207   208   209   210   211   212   213