Page 205 - นิตยสารดุลพาห เล่มที่ ๒-๒๕๖๑-กฎหมาย
P. 205

ดุลพาห




                     โดยที่เป็นที่ยอมรับกันว่าการพิจารณาคดีอาญาด้วยความเป็นธรรมนั้นจะต้องให้
            สิทธิแก่จำาเลยในการต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ ดังนั้น โดยหลักแล้วการพิจารณาคดีจึงต้องกระทำาต่อ

            หน้าจำาเลย ส่วนการพิจารณาคดีลับหลังจำาเลยปกติแล้วต้องถือเป็นข้อยกเว้น และส่วนใหญ่

            จะใช้ในกรณีที่จำาเลยสละสิทธิที่จะให้มีการพิจารณาคดีต่อหน้าตนเองไม่ว่าโดยชัดแจ้ง
            หรือโดยปริยายเท่านั้น อย่างไรก็ดี แต่ละประเทศก็มีมาตรการและหลักกฎหมายในเรื่อง

            การสืบพยานลับหลังนี้แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับแนวนโยบายว่าจะให้นำ้าหนักกับเรื่องประสิทธิภาพ
            ในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมมากน้อยขนาดไหน เพราะการไม่เปิดช่องให้

            สืบพยานลับหลังเลย ย่อมทำาให้การบังคับใช้กฎหมายเสื่อมประสิทธิภาพสำาหรับจำาเลยที่จงใจ
            หลบหนี แต่หากให้สืบพยานลับหลังจำาเลยโดยไม่มีข้อจำากัด ย่อมมีโอกาสที่รัฐอาจลงโทษ

            บุคคลที่ไม่ได้กระทำาผิด เพราะผู้ถูกกล่าวหาไม่มีโอกาสนำาพยานหลักฐานมานำาสืบหักล้างพยาน

            ของฝ่ายโจทก์ กล่าวโดยเฉพาะถึงประเทศในสหภาพยุโรปก็มีบทบัญญัติของกฎหมายในเรื่องนี้
            ไว้แตกต่างกัน และมีคดีจำานวนมากที่จำาเลยในคดีอาญาที่ถูกพิจารณาคดีลับหลังโต้แย้งไปยัง
            ศาลสิทธิมนุษยชนยุโรปว่ากฎหมายเรื่องนี้ของหลายประเทศขัดแย้งกับข้อ ๖ ของอนุสัญญา

            ยุโรปว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ซึ่งรับรองสิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีด้วยความเป็นธรรม

            (fair trial rights) เอาไว้ ซึ่งในแต่ละคดี รวมทั้งคดี Sejdovic v Italy ที่จะกล่าวถึงในที่นี้
            ศาลได้พัฒนาหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่สำาคัญของการสืบพยานลับหลังจำาเลยไว้ สำาหรับคดีนี้

            ยังมีความน่าสนใจในแง่ที่ว่าเป็นการวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ของศาล (Grand Chamber)
            ที่ประกอบไปด้วยองค์คณะผู้พิพากษา ๑๗ ท่าน แตกต่างจากคดีทั่วไปที่จะใช้องค์คณะผู้พิพากษา

            เพียง ๗ ท่าน

            ๑. ข้อเท็จจริง


                       โจทก์คดีนี้ชื่อนาย Ismet Sejdovic ขณะเกิดเหตุมีภูมิลำาเนาในประเทศอิตาลี

            คดีสืบเนื่องจากเมื่อวันที่ ๘ กันยายน ปี ค.ศ. ๑๙๙๒ เกิดเหตุฆาตกรรมในกรุงโรม จากการ
            สอบปากคำาพยานในที่เกิดเหตุให้การว่าโจทก์คดีนี้เป็นคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย ต่อมา

            ผู้พิพากษาสอบสวนแห่งกรุงโรมออกหมายจับโจทก์คดีนี้มาเพื่อคุมขังก่อนการพิจารณา
            แต่เจ้าพนักงานที่เกี่ยวข้องไม่สามารถติดตามตัวโจทก์ได้ และเห็นว่าโจทก์จงใจหลบหนี

            กระบวนการยุติธรรมจึงมีการประกาศให้เป็นผู้หลบหนี และดำาเนินกระบวนพิจารณาในชั้น
            ศาลโดยไม่มีตัวโจทก์ในคดีนี้ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ของอิตาลีไม่สามารถติดต่อโจทก์ได้ โจทก์





            194                                                              เล่มที่ ๒ ปีที่ ๖๕
   200   201   202   203   204   205   206   207   208   209   210