Page 201 - นิตยสารดุลพาห เล่มที่ ๒-๒๕๖๑-กฎหมาย
P. 201

ดุลพาห




                     การบังคับคดีส่วนแพ่งซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคดีอาญาจะกระทำาได้เมื่อคดีถึงที่สุด ตาม
            ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๔๕



            คำ�พิพ�กษ�ศ�ลฎีก�ที่ ๑๑๒๑๖/๒๕๕๕


                     คำาพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำาต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำาพิพากษา

            คดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๔๖ โดยเจตนารมณ์
            ของกฎหมายให้ถือคดีอาญาเป็นหลัก จึงจะฟังข้อเท็จจริงในคดีส่วนแพ่งให้แตกต่างไปจาก

            ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคดีส่วนอาญาที่ฟังเป็นยุติแล้วไม่ได้ ทั้งมาตรา ๔๔ วรรคสอง แห่ง
            ประมวลกฎหมายดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า เมื่อมีการฟ้องคดีอาญาและเรียกค่าสินไหมทดแทน

            คดีส่วนแพ่งย่อมรวมเป็นส่วนหนึ่งของคดีส่วนอาญา เมื่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ
            อาญา  ภาค ๖ หมวด ๑ การบังคับตามคำาพิพากษา มาตรา ๒๔๕ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า เมื่อ

            คดีถึงที่สุดแล้ว ให้บังคับคดีโดยไม่ชักช้า ซึ่งมีความหมายว่าการบังคับคดีตามคำาพิพากษา
            ในคดีอาญาจะกระทำาได้ต่อเมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว ดังนั้น คดีส่วนแพ่งซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคดี

            ส่วนอาญาจึงต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาด้วยเช่นเดียวกัน
            จำาเลยอุทธรณ์และคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค ๘ คดียังไม่ถึงที่สุด

            โจทก์ร่วมซึ่งเป็นผู้เสียหายจึงไม่อาจขอให้ออกคำาบังคับและหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีได้

            ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๘ ให้เพิกถอนคำาสั่งออกคำาบังคับและหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีนั้น
            ชอบแล้ว






























            190                                                              เล่มที่ ๒ ปีที่ ๖๕
   196   197   198   199   200   201   202   203   204   205   206