Page 203 - นิตยสารดุลพาห เล่มที่ ๒-๒๕๖๑-กฎหมาย
P. 203

ดุลพาห




                       ๒
            พ.ศ. ๒๕๔๓  จึงเริ่มมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการสืบพยานลับหลังเป็นการเฉพาะ และเมื่อมีการ
                                                                                           ๓
            ประกาศใช้พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. ๒๕๕๐ ก็มีบทบัญญัติในมาตรา ๑๒
            เกี่ยวกับการสืบพยานลับหลัง ไว้เป็นพิเศษแตกต่างจากประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ

            อาญาเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ในช่วงสองปีที่ผ่านมามีการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายหลายฉบับ
            กำาหนดวิธีสืบพยานลับหลังกับคดีพิเศษต่างๆ ไว้เพิ่มเติม เช่น ตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณา

                                              ๔
            คดีค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๙ มาตรา ๓๓  พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติ
                                       ๕
            มิชอบ พ.ศ. ๒๕๕๙ มาตรา ๒๘  และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณา


            ๒. ข้อกำาหนดเกี่ยวกับการดำาเนินคดีของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำารงตำาแหน่งทางการเมือง พ.ศ. ๒๕๔๓
               ข้อ ๑๐ บัญญัติว่า ศาลมีอำานาจพิจารณาและไต่สวนพยานหลักฐานลับหลังจำาเลยได้.
            ๓.  พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๑๒ บัญญัติว่า ในคดีความผิดเกี่ยวกับ
              ยาเสพติดซึ่งจำาเลยมีทนายความ ถ้าปรากฏว่า จำาเลยคนใดจงใจไม่มาศาลหรือหลบหนีและมีความจำาเป็น
              เพื่อมิให้พยานหลักฐานสูญหายหรือยากแก่การนำามาสืบในภายหลัง  เมื่อศาลเห็นเป็นการสมควรก็ให้ศาล
              มีอำานาจสืบพยานหลักฐานลับหลังจำาเลย  แต่ต้องให้โอกาสทนายความของจำาเลยที่จะถามค้านและนำาสืบ
              หักล้างพยานหลักฐานนั้นได้.
            ๔. พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีค้ามนุษย์ พ.ศ. ๒๕๕๙  มาตรา ๓๓ บัญญัติว่า การพิจารณาและสืบพยาน
              ในศาล  ให้ทำาโดยเปิดเผยต่อหน้าจำาเลย  เมื่อศาลเห็นเป็นการสมควร  เพื่อให้การพิจารณาเป็นไปโดย
              ไม่ชักช้า ศาลมีอำานาจพิจารณา และสืบพยานลับหลังจำาเลยได้ ในกรณีดังต่อไปนี้
                    (๑) จำาเลยไม่อาจมาฟังการพิจารณาและการสืบพยานได้เนื่องจากความเจ็บป่วยหรือมีเหตุจำาเป็นอื่น
              อันมิอาจก้าวล่วงได้ เมื่อจำาเลยมีทนายและจำาเลยได้รับอนุญาตจากศาลที่จะไม่มาฟังการพิจารณาและสืบพยาน
                    (๒) จำาเลยเป็นนิติบุคคลและศาลได้ออกหมายจับผู้จัดการหรือผู้แทนของนิติบุคคลนั้นแล้ว แต่ยัง
              จับตัวมาไม่ได้
                    (๓) จำาเลยอยู่ในอำานาจศาลแล้วแต่ได้หลบหนีไปและศาลได้ออกหมายจับแล้ว แต่ยังจับตัวมาไม่ได้
                    (๔) ในระหว่างพิจารณาหรือสืบพยาน ศาลมีคำาสั่งให้จำาเลยออกจากห้องพิจารณาเพราะเหตุขัดขวาง
              การพิจารณา หรือจำาเลยออกไปจากห้องพิจารณาโดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาล
                    ในกรณีดังกล่าว เมื่อศาลพิจารณาคดีเสร็จสิ้นแล้ว ให้ศาลมีคำาพิพากษาในคดีนั้นต่อไป.
            ๕. พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ พ.ศ. ๒๕๕๙  มาตรา ๒๘ บัญญัติว่า การพิจารณา
              และสืบพยานในศาล  ให้ทำาโดยเปิดเผยต่อหน้าจำาเลย  เมื่อศาลเห็นเป็นการสมควร  เพื่อให้การพิจารณา
              เป็นไปโดยไม่ชักช้า ศาลมีอำานาจพิจารณา และสืบพยานลับหลังจำาเลยได้ ในกรณีดังต่อไปนี้
                    (๑) จำาเลยไม่อาจมาฟังการพิจารณาและการสืบพยานได้เนื่องจากความเจ็บป่วย หรือมีเหตุจำาเป็นอื่น
              อันมิอาจก้าวล่วงได้ เมื่อจำาเลยมีทนายและจำาเลยได้รับอนุญาตจากศาลที่จะไม่มาฟังการพิจารณา และสืบพยาน
                    (๒) จำาเลยเป็นนิติบุคคลและศาลได้ออกหมายจับผู้จัดการหรือผู้แทนของนิติบุคคลนั้นแล้ว แต่ยัง
              จับตัวมาไม่ได้
                    (๓) จำาเลยอยู่ในอำานาจศาลแล้วแต่ได้หลบหนีไปและศาลได้ออกหมายจับแล้วแต่ยังจับตัวมาไม่ได้
                    (๔) ในระหว่างพิจารณาหรือสืบพยาน ศาลมีคำาสั่งให้จำาเลยออกจากห้องพิจารณาเพราะเหตุขัดขวาง
              การพิจารณา หรือจำาเลยออกไปจากห้องพิจารณาโดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาล
                    ในกรณีดังกล่าว เมื่อศาลพิจารณาคดีเสร็จสิ้นแล้ว ให้ศาลมีคำาพิพากษาในคดีนั้นต่อไป.


            192                                                              เล่มที่ ๒ ปีที่ ๖๕
   198   199   200   201   202   203   204   205   206   207   208