Page 211 - นิตยสารดุลพาห เล่มที่ ๒-๒๕๖๑-กฎหมาย
P. 211

ดุลพาห




                     การพิจารณาคดีลับหลังตามกฎหมายไทย เดิมอนุญาตให้ทำาได้เมื่อจำาเลยสมัครใจ
            สละสิทธิเองโดยการขออนุญาตศาล ต่อมามีการขยายขอบเขตให้สืบพยานลับหลังในคดีที่

            จำาเลยหลบหนีได้ในคดียาเสพติด แต่มีเงื่อนไขว่าต้องเป็นคดีที่จำาเลยมีทนายความ อันเป็น
            เงื่อนไขที่ตรงกับที่ศาลสิทธิมนุษยชนยุโรปวางหลักเอาไว้ว่าการพิจารณาคดีลับหลังต้องไม่เป็น

            การตัดสิทธิในการต่อสู้คดีของจำาเลย และเมื่อกฎหมายจำากัดขอบเขตให้ใช้การสืบพยาน
            ลับหลังเฉพาะคดีที่จำาเลยหลบหนีหรือจงใจไม่มาศาล กรณีจึงต้องพิจารณาเป็นกรณีไปว่า
            มีพฤติการณ์ที่แสดงออกว่าจำาเลยหลบหนีหรือจงใจไม่มาศาลหรือไม่ ซึ่งหากเป็นกรณีที่จำาเลย

            มาศาลในวันสอบคำาให้การ และทราบกำาหนดนัดสืบพยานแล้วแต่ไม่มาโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้อง
            ย่อมเป็นพฤติการณ์ที่ถือได้ว่าจงใจไม่มาศาลแล้ว และเมื่อจำาเลยทราบข้อกล่าวหาแล้ว ทั้งมี
            ทนายความต่อสู้คดี การสืบพยานลับหลังในกรณีนี้จึงไม่กระทบสิทธิในการพิจารณาคดี

            ด้วยความเป็นธรรมของจำาเลย การที่กฎหมายไม่บัญญัติถึงสิทธิที่จะขอรื้อฟื้นคดีเอาไว้เป็น
            พิเศษ จึงไม่ถือว่าเป็นการขัดต่อหลักกฎหมายสิทธิมนุษยชนแต่อย่างใด สำาหรับบทบัญญัติใน
            ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๗๒ ทวิ/๑ และ ๑๗๒ ทวิ/๒ ที่มีการเพิ่ม

            เติมขึ้นใหม่นั้น เนื่องจากเป็นการพิจารณาคดีลับหลัง หลังจากมีการถามคำาให้การและจำาเลย
            ทราบกำาหนดนัดพิจารณาแล้ว ประกอบกับมีการกำาหนดว่าต้องมีการออกหมายจับและติดตาม

            ตัวจำาเลยมาแล้วระยะหนึ่ง ทั้งบัญญัติในลักษณะเดียวกับกฎหมายวิธีพิจารณาคดียาเสพติดว่า
            จำาเลยต้องมีทนายความ การที่ไม่มีบทบัญญัติพิเศษเรื่องการรื้อฟื้นคดี จึงน่าจะถือว่าไม่เป็นการ
            ละเมิดสิทธิของจำาเลยโดยขัดกับหลักสิทธิมนุษยชนเช่นกัน

                     สำาหรับการสืบพยานลับหลังจำาเลยที่หลบหนีในคดีค้ามนุษย์และคดีทุจริตและประพฤติ

            มิชอบนั้น กฎหมายกำาหนดเงื่อนไขว่าเป็นกรณีที่จำาเลยอยู่ในอำานาจศาลแล้ว แต่หลบหนีไปและ
            ศาลออกหมายจับแล้ว ซึ่งอาจเกิดปัญหาในการตีความว่าที่ว่าอยู่ในอำานาจศาลนั้นหมายความว่า

            อย่างไร และจำาเลยต้องรู้ข้อกล่าวหาและวันนัดพิจารณาแล้วหรือไม่จึงจะสืบพยานลับหลังได้
            อีกทั้งกฎหมายไม่ได้กำาหนดให้การมีทนายความเป็นเงื่อนไขในการสืบพยานลับหลังด้วย

            หากเทียบเคียงกับคำาพิพากษาศาลสิทธิมนุษยชนยุโรปในคดีนี้แล้ว มีความเป็นไปได้ที่การพิจารณา
            คดีลับหลังตามกฎหมายพิเศษสองฉบับนี้จะถูกโต้แย้งว่าไม่เป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน

            เพราะการสืบพยานลับหลังนี้ไม่มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการขอรื้อฟื้นคดีไว้เป็นพิเศษ


                     ส่วนการสืบพยานโดยไม่มีตัวจำาเลยซึ่งเป็นหลักการที่มีเฉพาะในพระราชบัญญัติ
            ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำารงตำาแหน่งทางการเมือง พ.ศ. ๒๕๖๐

            นั้น ใช้กับกรณีที่จำาเลยไม่เคยมาศาล แต่มีการส่งหมายเรียกและสำาเนาคำาฟ้องไปให้จำาเลย



            200                                                              เล่มที่ ๒ ปีที่ ๖๕
   206   207   208   209   210   211   212   213   214   215   216