Page 127 - ดุลพาห เล่ม3.indd
P. 127

ดุลพาห




            จึงเป็นสิ่งที่จะกำาหนดคุณค่าที่ระบบมีหน้าที่ต้องคุ้มครอง ภารกิจที่ต้องกระทำา รูปแบบของระบบ
            ตลอดจนกรอบที่ใช้ประเมินความสำาเร็จของระบบการกำาหนดโทษนั้นๆ


                     ความเข้าใจทฤษฎีการลงโทษของระบบกำาหนดโทษ จะทำาให้การทำางานของกลไก
            ต่างๆ ในระบบเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ตัวอย่างเช่น หากถือทฤษฎีแก้ไขฟื้นฟู ฝ่ายนิติบัญญัติ

            ก็ไม่จำาเป็นต้องกำาหนดโทษขั้นตำ่าเพื่อจำากัดดุลพินิจของศาล เพราะเมื่อศาลกำาหนดโทษ
            ศาลจะพิจารณาเฉพาะโอกาสที่จะได้รับการแก้ไขฟื้นฟูของจำาเลยรวมทั้งระยะเวลาที่

            จำาเป็นที่จะใช้ในการแก้ไขฟื้นฟูเป็นสำาคัญ และเมื่อศาลกำาหนดโทษแล้ว ย่อมต้องให้
            ดุลพินิจแก่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ซึ่งเป็นผู้ดำาเนินการแก้ไขฟื้นฟูว่าเมื่อใดจำาเลยจึงจะพร้อมกลับ

            สู่สังคม ซึ่งในระบบเช่นนี้ ในการลงโทษผู้กระทำาผิดในลักษณะเดียวกันอย่างเท่าเทียมกัน
            ย่อมไม่ใช่คุณค่าที่สำาคัญของระบบ เป็นต้น

                     ในประเทศตะวันตก การปฏิรูปการการกำาหนดโทษเกิดขึ้นประมาณทศวรรษที่ ๑๙๗๐

            เมื่อทฤษฎีการลงโทษเพื่อแก้ไขฟื้นฟูซึ่งเป็นทฤษฎีที่อยู่เบื้องหลังระบบการกำาหนดโทษทางอาญา
            ของประเทศตะวันตกส่วนใหญ่ในขณะนั้นถูกท้าทายว่าเป็นทฤษฎีที่ไม่สามารถปฏิบัติได้

            เพราะมีงานวิจัยบ่งชี้ว่าการแก้ไขฟื้นฟูไม่ได้ผล ตลอดจนมีแนวความคิดว่าทฤษฎีแก้ไขฟื้นฟู
            ทำาให้เกิดความไม่เป็นธรรมในระบบการกำาหนดโทษเพราะผู้กระทำาผิดที่กระทำาผิด

            ในลักษณะเดียวกันถูกลงโทษไม่เท่ากัน อีกทั้งการให้ดุลพินิจแก่ศาลและพนักงานราชทัณฑ์
            โดยไม่มีขอบเขตยังเป็นการละเมิดหลักนิติธรรมและสิทธิของจำาเลยอีกด้วย ดังนั้น การปฏิรูป

            การกำาหนดโทษในตะวันตกตั้งแต่ช่วงปี ๑๙๗๐ เป็นต้นมาจึงเป็นการแสวงหาทิศทางหรือ
            ทฤษฎีใหม่ของระบบการกำาหนดโทษ ซึ่งเชื่อว่าทำาให้เกิดความเป็นธรรมมากกว่าทฤษฎีที่เป็นอยู่
            ความเสื่อมศรัทธาในทฤษฎีการลงโทษเพื่อแก้ไขฟื้นฟู นำาไปสู่การออกแบบระบบการกำาหนดโทษ

            ทางอาญาบนพื้นฐานของทฤษฎีการลงโทษเพื่อให้สาสมกับความผิด (just deserts) และ
            ทฤษฎีสัดส่วน (principles of proportionality) แต่มิได้หมายความว่าทฤษฎีการลงโทษอื่นๆ

            รวมถึงทฤษฎีแก้ไขฟื้นฟูจะไม่มีบทบาทใดๆ ในระบบการกำาหนดโทษ ความเป็นจริงแล้ว
            ระบบการกำาหนดโทษทางอาญาของประเทศตะวันตกในปัจจุบัน ส่วนใหญ่แล้วเป็นระบบผสม

            (hybrid system) ที่อาศัยทฤษฎีการลงโทษเพื่อให้สาสมแก่ความผิด เพื่อจำากัดการลงโทษ
            มิให้ร้ายแรงหรือเบาเกินสัดส่วน แต่ยอมรับทฤษฎีการลงโทษอื่นๆ ภายใต้ขอบเขตที่ต่างกัน

            ออกไป นักวิชาการบางท่านเรียกทฤษฎีนี้ว่าทฤษฎีแก้แค้นทดแทนแบบจำากัด (limiting
            retributivism)






            116                                                              เล่มที่ ๓ ปีที่ ๖๕
   122   123   124   125   126   127   128   129   130   131   132