Page 132 - ดุลพาห เล่ม3.indd
P. 132

ดุลพาห




                 ๓.๒  ความสมำ่าเสมอในการกำาหนดโทษอาญาเกิดขึ้นได้อย่างไร


                        ความเข้าใจทั่วไปของนักกฎหมายคือหากไม่มีกฎเกณฑ์ทางกฎหมายที่ชัดเจนแล้ว
               ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่การกำาหนดโทษทางอาญาของผู้พิพากษาแต่ละคนและศาลแต่ละศาลจะมี

               ความสมำ่าเสมอ เพราะผู้พิพากษาแต่ละคนย่อมมีความคิดเกี่ยวกับทฤษฎีและวัตถุประสงค์
               ในการลงโทษที่แตกต่างกัน ความเข้าใจดังกล่าวเป็นธรรมชาติของนักกฎหมายที่ให้ความสำาคัญ

               ต่อกฎหมายเหนือปทัสถานอื่นๆ ทางสังคม ในความเป็นจริงแล้วมีงานวิจัยเชิงประจักษ์ในหลาย
               ประเทศที่บ่งชี้ว่าการกำาหนดโทษอาญาของศาล ตลอดจนการตัดสินใจอื่นๆ ในกระบวนการ

               ยุติธรรมทางอาญานั้นเป็นกระบวนการในทางสังคม (social process) ซึ่งแม้จะไม่มีกฎหมาย
               กำาหนดหลักเกณฑ์ในการตัดสินใจเอาไว้อย่างครอบคลุม การตัดสินใจของผู้พิพากษาแต่ละคน

               ก็เป็นไปในลักษณะเดียวกัน และมีความคาดหมายได้ เช่น ผู้พิพากษา อัยการ และทนายความ
               ที่ทำางานในศาลเดียวกันเป็นระยะเวลาหนึ่งย่อมทราบว่า คดีในลักษณะใดที่ถือว่าเป็นคดี

               ประเภทเดียวกันที่ศาลจะลงโทษเท่ากัน ผู้พิพากษาในศาลเดียวกันย่อมกำาหนดโทษไปตาม
               วัฒนธรรมและบัญชีอัตราโทษของศาลนั้นๆ เพราะในระบบผู้พิพากษาอาชีพ (career judiciary)

               ที่ใช้ในประเทศ civil law รวมทั้งประเทศไทยนั้นให้ความสำาคัญเป็นอย่างมากเกี่ยวกับเอกภาพ
               ในการตัดสินใจ เป็นต้น ดังนั้น การมีอยู่หรือไม่มีอยู่ของกฎหมายที่กำาหนดกฎเกณฑ์ในการ

               กำาหนดโทษ ในตัวของมันเองอาจไม่ได้ส่งผลโดยตรงต่อกระบวนการตัดสินใจของผู้พิพากษา

               ดังที่นักกฎหมายเข้าใจ

                 ๓.๓  รู้ได้อย่างไรว่าคดีสองคดีเหมือนหรือไม่เหมือนกัน


                        ความยุ่งยากของความพยายามในการวัดหรือประเมินความสมำ่าเสมอในการ
               กำาหนดโทษอาญาคือ การสร้างหลักเกณฑ์ในการเปรียบเทียบคดีว่าคดีสองคดีนั้นเหมือน

               หรือต่างกันอย่างไร ปัญหาประการแรกคือ ทฤษฎีการลงโทษที่แตกต่างกันย่อมนำาไปสู่หลักเกณฑ์
               ในการเปรียบเทียบที่ต่างกันได้ เช่น หากยึดถือทฤษฎีการลงโทษแบบแก้ไขฟื้นฟู ย่อมไม่ให้

               ความสำาคัญกับความร้ายแรงของการกระทำาความผิด แต่พิจารณาจากโอกาสที่จะแก้ไขฟื้นฟูได้

               เป็นสำาคัญ ดังนั้น แม้จำาเลยสองคนกระทำาความผิดต่างฐานความผิดกัน แต่ผู้พิพากษาเห็นว่า
               มีโอกาสที่จะแก้ไขฟื้นฟูโดยใช้วิธีคุมประพฤติเช่นกัน ก็อาจได้รับการลงโทษเท่ากัน ในขณะที่

               ผู้กระทำาผิดฐานเดียวกันอาจได้รับโทษต่างกันได้ เพราะความเหมือนหรือไม่เหมือนกันของ
               ทั้งสองคดี ในกรณีนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับฐานความผิด ในทางตรงกันข้าม หากยึดถือทฤษฎี





               กันยายน - ธันวาคม ๒๕๖๑                                                     121
   127   128   129   130   131   132   133   134   135   136   137