Page 133 - ดุลพาห เล่ม3.indd
P. 133
ดุลพาห
การลงโทษเพื่อให้สาสมกับความผิด การจะลงโทษเท่าใดย่อมพิจารณาจากความร้ายแรง
ของความผิดกับความน่าตำาหนิของผู้กระทำาผิดเป็นสำาคัญ ดังนั้น คดีที่เหมือนกันจึงหมายถึง
คดีที่ร้ายแรงเท่ากันหรือเป็นความผิดฐานเดียวกันนั่นเอง
แม้จะยอมรับว่าการเปรียบเทียบคดีจะพิจารณาจากความร้ายแรงของความผิด
เป็นสำาคัญตามหลักการลงโทษที่ได้สัดส่วน (proportionate sentencing) ปัญหาคงมีต่อไปว่า
ความร้ายแรงของความผิดแต่ละฐานจะพิจารณาจากหลักเกณฑ์อะไรบ้าง และใครควรเป็น
ผู้กำาหนดหลักเกณฑ์ดังกล่าว เช่น ความผิดฐานจำาหน่ายยาเสพติด ควรพิจารณาความร้ายแรง
ของความผิดจากประเภทและปริมาณของยาเสพติดเท่านั้นหรือไม่ หรือพิจารณาพฤติการณ์
การจำาหน่าย และบทบาทของจำาเลยในกระบวนการค้ายาเสพติด (role in supply chain)
ด้วย หรือความผิดฐานลักทรัพย์ควรพิจารณาจากประเภทและมูลค่าของทรัพย์ที่ลักเท่านั้น
หรือไม่ หรือควรพิจารณาผลกระทบต่อผู้เสียหายประกอบด้วย เป็นต้น
ในการบัญญัติกฎหมายหรือกำาหนดกฎเกณฑ์การกำาหนดโทษใน sentencing
guidelines ของต่างประเทศ ผู้ร่างย่อมต้องกำาหนดว่าความร้ายแรงของความผิดแต่ละ
ประเภทนั้นจะพิจารณาจากอะไรบ้าง ซึ่งบัญชีอัตราโทษหรือยี่ต็อกของศาลไทยก็ทำาหน้าที่
ในลักษณะเดียวกัน
๓.๔ การกำาหนดโทษอาญาของไทยมีความสม่ำ่าเสมอหรือไม่
หากพิจารณาเฉพาะการกำาหนดโทษของผู้พิพากษาในศาลเดียวกันจะพบว่า
ในแต่ละศาลมีความสมำ่าเสมอในการกำาหนดโทษทั้งในแง่ของกระบวนการและผลลัพธ์
เพราะศาลอาญาในกรุงเทพมหานครและศาลจังหวัดแต่ละศาลจะมีบัญชีอัตราโทษหรือยี่ต็อก
เป็นแนวทางให้ผู้พิพากษากำาหนดโทษ และส่วนใหญ่การตัดสินต่างจากบัญชีอัตราโทษ
ต้องปรึกษาผู้พิพากษาหัวหน้าศาลหรือผู้ที่ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลมอบหมายซึ่งตามวัฒนธรรม
องค์กรของศาลแล้ว การตัดสินตามบัญชีอัตราโทษ โดยเฉพาะกรณีที่จำาเลยให้การรับสารภาพ
ในวันสอบคำาให้การครั้งแรกหรือที่เรียกว่าเวรชี้ ถือเป็นหลัก ส่วนการสืบเสาะและตัดสิน
ต่างจากบัญชีเป็นข้อยกเว้น
หากเปรียบเทียบการกำาหนดโทษระหว่างศาล โดยพิจารณาจากข้อเท็จจริงที่ว่า
แต่ละศาลมีบัญชีอัตราโทษของตนเองอาจนำาไปสู่ข้อสรุปว่าในระบบการกำาหนดโทษของไทย
ไม่มีความสมำ่าเสมอในการกำาหนดโทษ แต่ความเป็นจริงแล้วบัญชีอัตราโทษของแต่ละศาล
122 เล่มที่ ๓ ปีที่ ๖๕