Page 187 - ดุลพาห เล่ม3.indd
P. 187

ดุลพาห




            แทนการบอกกล่าวล่วงหน้า และไม่ถือว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม แต่ถ้าทำางานได้ตำ่ากว่า
            มาตรฐานมากๆ เช่นได้เพียง ๑๐ % ของมาตรฐานที่ตั้งไว้ถือว่าไม่ตั้งใจทำางาน ไม่เอาใจใส่ใน

            การทำางานอย่างชัดเจน ทำางานไร้ประสิทธิภาพมาก ถือเป็นความผิดทางวินัยแล้ว ๔๙

                     หากลูกจ้างหยุดงานหรือไม่ยอมทำางานเพราะนายจ้างค้างจ่ายค่าจ้าง ในกรณี

            ดังกล่าวไม่ถือว่าลูกจ้างจงใจทำาให้นายจ้างได้รับความเสียหาย ทั้งนี้เป็นไปตามหลักสัญญา
            ต่างตอบแทน คือเมื่อนายจ้างไม่ปฏิบัติการชำาระหนี้ ลูกจ้างก็ย่อมไม่ปฏิบัติการชำาระหนี้

            ตอบแทนได้เช่นกัน ๕๐

                     ๓.๔ การปรับข้อเท็จจริงเข้ากับกฎระเบียบหรือข้อบังคับการทำางาน

                     การปรับข้อเท็จจริงเข้ากับระเบียบข้อบังคับการทำางานก็คือเมื่อรับฟังข้อเท็จจริง
                                                                           ๕๑
            เป็นยุติแล้ว ต้องนำาข้อเท็จจริงนั้นไปเทียบเคียงกับกฎระเบียบข้อบังคับ   อันเป็นกฎหมาย

            ๔๙. คำาพิพากษาศาลฎีกาที่ ๔๙๒๒/๒๕๔๖.
            ๕๐. คำาพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๙๑๖-๒๙๑๘/๒๕๒๖.
            ๕๑. ข้อบังคับหรือระเบียบเกี่ยวกับการทำางานนั้น ต้องชอบด้วยกฎหมายจึงจะมีผลผูกพันลูกจ้าง กล่าวคือ ข้อ
              บังคับหรือระเบียบนั้น  ไม่ว่าจะอยู่ในกรอบของข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่เป็นข้อบังคับการทำางาน
              ตามมาตรา ๑๐๘ พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ และมาตรา ๑๐ พ.ร.บ.แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘
              ก็ดี  หรือข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างอันได้มาจากการยื่นข้อเรียกร้องตามมาตรา  ๑๓  แห่ง  พ.ร.บ.
              แรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ ก็ดี กฎหมายไม่ได้บังคับเด็ดขาดว่า ข้อตกลงดังกล่าวให้มีผลผูกพันเฉพาะ
              ลูกจ้างที่ลงลายมือชื่อในข้อเรียกร้อง หรือมีส่วนในการเลือกผู้แทนเข้าร่วมเจรจาเท่านั้น ดังนั้น เมื่อ
              นายจ้างมีเจตนาให้ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลผูกพันเป็นการทั่วไป  ลูกจ้างผู้ที่เข้าทำางานในภาย
              หลังจากมีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างก็มีสิทธิได้รับประโยชน์จากข้อตกลงนั้น (ฎีกาที่ ๒๘๒๑/๒๕๒๕)
              และหากมีการแก้ไขข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามมาตรา ๒๐ แห่งพระราชบัญญัติแรงงามสัมพันธ์
              พ.ศ. ๒๕๑๘ บัญญัติว่า “ห้ามมิให้นายจ้างทำาสัญญาจ้างแรงงานกับลูกจ้างขัดหรือแย้งกับข้อตกลงเกี่ยว
              กับสภาพการจ้าง  เว้นแต่สัญญาจ้างแรงงานจะเป็นคุณค่ายิ่งกว่า”  ดังนั้น  การแก้ไขข้อตกลงเกี่ยวกับ
              สภาพการจ้างจึงต้องให้ลูกจ้างยินยอมด้วยหรือข้อตกลงนั้นถ้านายจ้างทำาฝ่ายเดียวต้องเป็นคุณยิ่งกว่า
              ข้อตกลงเดิม  การทำาโดยฝ่ายเดียวของนายจ้างและไม่เป็นคุณค่ายิ่งกว่า  แม้นายจ้างจะเชิญลูกจ้างเข้า
              มาฟังคำาชี้แจง หรือปิดประกาศโดยเปิดเผยก็ตาม และแม้ไม่มีพนักงานผู้ใดโต้แย้งในการแก้ไข ข้อบังคับ
              หรือข้อตกลงใหม่นั้นก็ไม่ผูกพันลูกจ้าง  คำาสั่งหรือข้อตกลงเดิมยังมีผลใช้บังคับอยู่ทุกประการยกเว้นอาจ
              จะมีบางส่วนที่เป็นคุณยิ่งกว่า (ฎีกาที่ ๒๔๙๘/๒๕๒๙, ฎีกาที่ ๓๑๘๙/๒๕๒๙, ฎีกาที่ ๗๔๗-๗๖๘/๒๕๒๔) อย่างไร
              ก็ตามแม้ว่าประกาศข้อบังคับหรือคำาสั่งใหม่จะไม่เป็นคุณยิ่งกว่าข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเดิม
              แต่หากลูกจ้างรับทราบประกาศและไม่คัดค้าน ทั้งได้ยอมรับผลการปฏิบัติตามประกาศ ข้อตกลง หรือคำาสั่ง
              ใหม่นั้นมาช่วงระยะเวลาหนึ่งแล้ว ก็ถือว่า ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างใหม่ผูกพันลูกจ้างแล้ว (เป็นการ
              ยอมรับโดยปริยาย ทั้งนี้ ตามนัยคำาพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๓๕๒/๒๕๓๔, ฎีกาที่ ๓๐๖๗/๒๕๓๕) แต่ไม่ว่ากรณี
              จะเป็นเช่นไรนายจ้างย่อมมีอำานาจจัดการหรืออำานาจบังคับบัญชา  (Management  Right)  ที่จะสั่งหรือ
              กำาหนดในรายละเอียดเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของพนักงานได้เสมอ ซึ่งมิใช่การแก้ไขเพิ่มเติม หรือขัดแย้ง
              กับข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง,  จึงเป็นข้อบังคับการทำางานของพนักงานทั่วๆ  ไป  ระเบียบดังกล่าว
              เป็นระเบียบ หรือคำาสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย (ฎีกาที่ ๓๖๙๖/๒๕๒๕).



            176                                                              เล่มที่ ๓ ปีที่ ๖๕
   182   183   184   185   186   187   188   189   190   191   192