Page 83 - Thesis PhD Anger by Chaichana
P. 83

๖๕



                                     (๑) ด้วยการเข้าฌานใหม่ คือ ให้พิจารณาโทษของความโกรธและเห็นคุณของขันติ
                       และเมตตา เป็นต้น


                                     (๒) ด้วยพิจารณาถึงพระพุทธโอวาท คือ ให้ระลึกถึงพระพุทธโอวาทที่พระองค์สอน
                                                                ุ
                       ใน กกจูปมสูตรและอักโกสสูตรบ่อยๆ คือ (๑) ภิกษทั้งหลาย หากพวกโจรผู้ประพฤติต่ำทราม จะพงใช้
                                                                                                       ึ
                       เลื่อยที่มีที่จับ ๒ ข้าง เลื่อยอวัยวะน้อยใหญ่ ผู้มีใจคิดร้ายแม้ในพวกโจรนั้น ก็ไม่ชื่อว่าทำตามคำสั่งสอน
                       ของเรา เพราะเหตุที่ อดกลั้นไม่ได้นั้น แม้ในข้อนั้น เธอทั้งหลายควรสำเหนียกอย่างนี้ว่า จิตของเราจัก

                       ไม่แปรผัน เราจักไม่ เปล่งวาจาชั่วหยาบ และจักอนุเคราะห์ด้วยสิ่งที่เป็นประโยชน์อยู่อย่างผู้มีเมตตา

                       จิต ไม่มีโทสะ เราจัก แผ่เมตตาจิตไปให้บุคคลนั้นอยู่และเราจักแผ่เมตตาจิตอันไพบูลย์เป็นมหัคคตะ
                                                                                ั
                       ไม่มีขอบเขต ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนไปยังสัตว์โลกทุกหมู่เหล่าอนเป็นอารมณ์ของเมตตาจิต
                                                                                                       ๑๒๓
                       ผู้ใดโกรธตอบต่อบุคคลผู้โกรธ ผู้นั้นย่อมเลวกว่าผู้โกรธ เพราะการโกรธตอบนั้น บุคคลผู้ไม่โกรธตอบ
                       ต่อบุคคลผู้โกรธ ชื่อว่าชนะสงครามที่ชนะได้ยาก ผู้ใดรู้ว่าผู้อื่นโกรธเป็นผู้มีสติสงบ ใจไว้ได้ผู้นั้นชื่อว่า

                       ประพฤติประโยชน์ของคนทั้ง ๒ ฝ่าย คือ ฝ่ายตนและฝ่ายผู้อื่น
                                                                         ๑๒๔
                                     (๓) ด้วยมองคนในแง่ดีคือ ให้มองว่า คนเรานั้นมีส่วนดีบ้างไม่ดีบ้าง ไม่ควรถือว่าเขา

                       เลวหมด เป็นต้น เขาและเรายังเป็นปุถุชนอยู่ ยังไม่หมดกิเลส เป็นต้น

                                     (๔) ด้วยการพร่ำสอนตนเอง คือ ให้สอนตนเองว่า ทำไมเราต้องโกรธเขาอยู่ โกรธเขา

                       แล้วได้อะไร ไฉนเราจึงยอมตัวเองให้ตกอยู่ในอำนาจของความโกรธเล่า ความโกรธทำให้ใจเราเป็น

                       ทุกข์ไม่ใช่หรือ ความโกรธไม่มีประโยชน์อะไรเลย เราควรเลิกโกรธได้แล้ว เป็นต้น

                                     (๕) ด้วยพิจารณาถึงกรรม คือ ให้พิจารณาว่า สัตว์ทั้งปวงมีกรรมเป็นของของตน ใคร

                       ทำกรรมอันใดไว้ เขาย่อมได้รับผลแห่งกรรมอันนั้นเอง แต่ละบุคคลมีกรรมเป็นของตน มีกรรมเป็น
                       ทายาท มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นพวกพ้อง เป็นที่พักพิง เป็นต้น


                                     (๖) ด้วยพิจารณาถึงพระพุทธจริยาในปางก่อน คือ ให้พิจารณาว่า พระศาสดาทรง
                       ลำบากมา ทรงทุกข์ทรมานเพราะการกระทำของผู้อื่นมากมายหลายชาติหลายประการ แต่หาได้ทรง

                       ผูกโกรธหรือผูกเวรต่อผู้ใดไม่ เช่น สมัยที่ทรงเป็นช้างรักษาศีล ทรงยอมให้พรานตัดงาถึง ๓ ครั้ง

                       พระองค์ก็ไม่มีความคิดที่จะประทุษร้ายในพรานนั้นเลย เป็นต้น

                                     (๗) ด้วยพิจารณาความสัมพันธ์กันมาในสังสารวัฏ คือ ให้พิจารณาว่า คนที่ไม่เคยเป็น

                       มารดา บิดาบุตรธิดา พี่ชาย พี่หญิง น้องชาย น้องหญิงและญาติสายโลหิตมิตรสหายไม่มีเขาเป็นศัตรู





                                 ๑๒๓  ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๓๒/๒๔๔.
                                 ๑๒๔  สํ.ส. (ไทย) ๑๕/๑๘๙/๒๖๗.
   78   79   80   81   82   83   84   85   86   87   88