Page 237 - Publicationa15
P. 237

ประชาธิปไตย : ประวัติศาสตร์ แนวคิด ปัญหา แนวทางแก้ไขและพัฒนา  229



                 ปัญญาชนเริ่มหันมาสนใจศึกษาวรรณคดี ศิลปะ วรรณคดีและแนวคิดของกรีก

                 และโรมัน จนกระทั่งปลายศตวรรษที่ 15 สถานะของศาสนจักรตกต�่าลงจน
                 เกิดการไม่ยอมรับความชอบธรรมในการปกครองของสันตะปาปาที่กรุงโรม
                 อีกต่อไป รัฐฝ่ายฆราวาสกลับมีอ�านาจกล้าแข็งมากขึ้นและมีความเห็นกันว่า
                 อาณาจักรไม่จ�าเป็นต้องอยู่ใต้อาณัติของศาสนจักร

                      ยุคสมัยใหม่
                      นักกฎหมายชาวฝรั่งเศส ชื่อ ฌอง โบแดง (Jean Bodin) มีชีวิตอยู่ในช่วง
                 ค.ศ. 1530 -1596) เขียนหนังสืออธิบายหลักการปกครองว่า รัฐจะด�ารงอยู่และ
                 ด�าเนินไปได้โดยมีอ�านาจการปกครองสูงสุดในแผ่นดินที่เรียกว่า อ�านาจอธิปไตย

                 โดยโบแดงให้ค�านิยาม อ�านาจอธิปไตยไว้ว่า คืออ�านาจสูงสุดเหนือประชาชน
                 ในรัฐอันไม่ถูกจ�ากัดหรือยับยั้งโดยกฎหมายใด เนื้อหาของอ�านาจอธิปไตยคือ
                 การตรากฎหมายแก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกกฎหมาย อ�านาจในการเก็บ
                 ภาษีอากร อ�านาจในการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ อ�านาจพิพากษาคดี การที่โบแดง

                 อธิบายเช่นนี้เพื่อที่จะขจัดแนวคิดที่ต้องเชื่อมโยงอ�านาจผ่านพระเจ้าดังเช่น
                 ในสมัยที่ศาสนจักรเรืองอ�านาจ อย่างไรก็ดี อ�านาจอธิปไตยยังต้องอยู่ภายใต้
                 บังคับหลักแห่งความยุติธรรมหรือหลักธรรมด้วย
                      รัฐสภาแห่งอังกฤษมีที่มาจากการจ�ากัดพระราชอ�านาจของกษัตริย์โดย

                 บัญญัติการจ�ากัดอ�านาจในด้านต่างๆ ไว้ในมหากฎบัตรแมกนา คาร์ตา (Magna
                 Carta) แต่อันที่จริงแล้วในขณะนั้น มีเพียงประชาชนกลุ่มน้อยเท่านั้นที่ออกมา
                 แสดงความคิดเห็น นอกจากนั้น ปัญหาของอ�านาจในการจัดตั้งรัฐสภานั้น
                 ขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของกษัตริย์ ต่อมา ภายหลังจากการปฏิวัติอันรุ่งโรจน์

                 (Glorious Revolution) ในปี ค.ศ. 1688 และการประกาศใช้พระราชบัญญัติ
                 ว่าด้วยสิทธิพื้นฐานของพลเมือง ในปี ค.ศ. 1689 ซึ่งได้มีการจ�ากัดสิทธิและ
                 เพิ่มพูนอิทธิพลของรัฐสภา สิทธิของพลเมืองในการเลือกสมาชิกรัฐสภาก็เพิ่ม
                 มากขึ้นทีละน้อยและส่งผลให้กษัตริย์ทรงเป็นเพียงประมุขแต่ในนามเท่านั้น

                      คริสตศตวรรษที่ 18 ถึง 19
                      ในศตวรรษที่ 18 ความเชื่อในความสามารถของเหตุผลของมนุษย์
                 (Rationalism) ที่จะศึกษาวิจัยวิจารณ์ชีวิตและสังคม ให้เข้าใจถึงข้อบกพร่อง






        _17-0315(224-249)11.indd   229                                     4/27/60 BE   11:57 AM
   232   233   234   235   236   237   238   239   240   241   242