Page 94 - mukdahansuksapub
P. 94

                                                                                                             94                 ฎาคม       กรมการเมืองและชาวบ้านได้นิมนต์พระภิกษุสงฆ์มาเจริญพุทะมนต์ในศาลกลาง แล้วให้กรมการเมือง                 อ่านหนังสือเรื่อง พญาคันคากขึ้นไปเรวแถน (พญาคางคกขึ้นไปรบกับพญาแถน)กรมการและชาวเมืองได้นิมนต์                 พระภิกษุสงฆ์มาจริญพระพุทธมนต์ในศาลากลาง  แล้วให้กรมการเมืองอ่านสือเรื่อง พญาคันคากขึ้นไปเรวแถน                 (พญาคางคกขึ้นไปรบกับพญาแถน)ตามประเพณีพื้นเมือง  แต่ฝนก็ยังไม่ตกอีกส่วนชาวบ้านก็ขุดหลุมแล้วนําเอา                 ศรีษะกระบือที่ตายแล้ว ๒ หัวมาชนกันแล้วร้องรําทําเพลง  ฝนก็ยังไม่ตกอีกชาวบ้านจึงคิดกันว่าต้องมีอาเพศเกิด                 ขึ้นในบ้านเมือง คงมีผู้หนึ่งผู้ใดกระทําผิดจารีตประเพณีของบ้านเมือง    ต่อมามีผู้สืบทราบว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งซึ่ง                 มีเชื้อสายข่าชื่อ อําแดง(นาง)ขอน เป็นบุตร นายกอน    แอบเล่นชู้กับจีนอิน จนมีลูกซึ่งผิดจารีตประเพณีของบ้าน                 เมืองฝนฟ้าจึงไม่ตกต้องตามฤดูกาล  กรมการเมืองจึงไปเกาะเอาตัวมา แล้วบังคับให้หาเนื้อกระบือมาเซ่นไหว้ขอ                 ขมาต่อมเหศักดิ์หลักเมือง  หากไม่มีเนื้อกระบือมาเซ่นไหว้ก็ให้นําเงิน ๓ ตําลึงมาปรับไหมแทน    ส่วนจีนอินให้                 ปรับไหม ๓ บาทหากไม่ได้เงินจะจําขังตะรางไว้    จีนอินให้การว่าได้ให้ค่านํ้าค่าฟืนแก่อําแดงขอนแล้ว ๗ ตําลึง                 ๒ บาท  แต่อําแดงขอนถูกโจรผู้ร้ายขโมยเงินไป                                                 พระภักดีนุชิต ข้าหลวงเห็นว่าประเพณีดังกล่าวเป็นการกดขี่ข่มเหงราษฎร  จึงฟ้ องกล่าวโทษ                 เจ้าเมืองและกรมการ   โดยได้มีใบบอกกราบทูลไปยังพระเจ้าบรมวงษ์เธอ กรมหลวงประจักษ์ศิลปาคม ข้าหลวง                 ต่างพระองค์สําเร็จราชการมณฑลลาวพวนที่หมากแข้ง(อุดรธานี)  ซึ่งพระองค์ได้ตอบว่า  “....  ความเรื่องนี้จะว่า                 เป็นการกดขี่ก็ไม่ได้  เป็นเพราะความศรัทธาเชื่อถือเป็นมาเช่นนั้น  ต้องอาศัยสั่งสอนตักเตือน...  เรื่อดังกล่าวได้                 กราบทูลให้สมเด็จกรมพระยาดํารงราชานุภาพ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยได้ทรงทราบแล้ว....”                                                 พ.ศ.๒๔๓๙ พระภักดีนุชิต   ได้รับคําสั่งให้ย้ายกลับไปดํารงตําแหน่งปลัดเมืองนครราชสีมา                 หลังจากที่ดํารงตําแหน่งข้าหลวงประจําเมืองมุกดาหารอยู่ ๔ ปี      ท่านได้ออกเดินทางจากเมืองมุกดาหารเมื่อวัน                 ที่ ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๓๙   เดินทางโดยเรือถ่อขึ้นไปตามลํานํ้าโขงพร้อมด้วยกรมการและไพร่พลรวม ๒๗                 คน เพื่อจะเดินทางไปยังเมืองหนองคายแล้วเดินทางต่อไปยังบ้านหมากแข้ง(อุดรธานี)ที่ตั้งกองบัญชาการมณฑล                 ลาวพวน  เพื่อเข้าเฝ้าข้าหลวงต่างพระองค์ก่อนที่จะเดินทางไปยังเมืองนครราชสีมา  เดินทางมาได้ ๑๑ วันถึงบ้าน                 หนองเดิ่น เขตเมืองบึงกาฬเมื่อวันที่ ๒ สิงหาคมและได้พักนอน หนึ่งคืนเพราะว่าพวกถ่อเรือเจ็บป่วยไปหลายคน                 ต่อมานายข่า คนใช้ของพระภักดีนุชิตป่วยเป็นไข้มาลาเรียจนเกิดอาการเพ้อคลั่งเหมือนคนเสียสติ  จะเอามีดเชือด                 คอตัวเองได้ช่วยกันแย่งเอามีดไว้ได้   ครั้นยํ่าคํ่า ๑๘ นาฬิกามีเรือกลไฟของฝรั่งเศสชื่อ เรือมาสซี ขึ้นมาตามลํานํ้า                 โขงและเข้ามาจอดเรือเทียบกับเรือถ่อของพระภักดีนุชิตซึ่งจอดอยู่ในฝั่งไทย   ฝรั่งเศสร้องถามว่าเป็นเรือของใคร                 พวกในเรือตอบไปว่าเรือของข้าหลวงประจําเมืองมุกดาหาร  ฝรั่งเศสกัปตันเรือสั่งให้ทหารญวนขึ้นไปค้นในเรือ                 และถามว่ามีทหาร,มีอาวุธหรือไม่ ขณะเดียวกันนายข่า คนใช้ซึ่งป่วยเป็นไข้มาลาเรียและกําลังเพ้อคลั่งอยู่ได้กระ                 โดดขึ้นไปบนเรือกลไฟของฝรั่งเศสแล้วบอกว่าตัวเขาเองเป็นทหารและมาในเรืออีกหลายคนและมีปืนอีกหลาย                 กระบอก     กัปตันเรือฝรั่งเศสจึงสั่งให้ทหารญวนถือโคมไฟออกค้นในเรืออีก   คงพบแต่ปืนพกกระบออกเดียว                 พร้อมด้วยกระสุนรวม ๖ นัด,ดาบหนึ่งเล่ม,มีดหนึ่งเล่ม  กัปตันเรือฝรั่งเศสได้เรียกพระภักดีนุชิตไปถามว่ามีหนัง
   89   90   91   92   93   94   95   96   97   98   99