Page 21 - คู่มือ RF -kt-20-08-2018-4-45 (ฉบับเต็ม)_(29-08-18)
P. 21
การกระท าของตนเอง ส่งผลกับบริบทข้างต้นอย่างไร และมีการอภิปรายอย่างกว้างขวางมากกว่ามุ่งความสนใจ
เฉพาะตนเอง
กิลสแทรป และดูปรี (Gilstrap and Dupree, 2008) ได้กล่าวถึงการวัดระดับการสะท้อนคิด โดยได้
ปรับเปลี่ยนเกณฑ์ในการวัดระดับการสะท้อนคิดจากเกณฑ์ของ สปาร์คเกอร์ส-แลงเยอร์ (Sparkers -Langer)
และคณะ โดยแบ่งออกเป็น 7 ระดับ ดังนี้
ระดับที่ 1 ไม่เป็นภาษาที่สื่อความได้
ระดับที่ 2 ภาษาส าหรับการสื่อสารธรรมดา
ระดับที่ 3 บรรยายเหตุการณ์ด้วยภาษาที่เหมาะสม
ระดับที่ 4 อธิยายด้วยเหตุผลความนิยม
ระดับที่ 5 อธิบายด้วยเหตุผลที่มีทฤษฎีประกอบ
ระดับที่ 6 อธิบายด้วยหลักทฤษฎีและการพิจารณาเกี่ยวกับปัจจัยทางบริบท
ระดับที่ 7 อธิบายโดยการพิจารณาประเด็นที่สอดคล้องทางจริยธรรม ศีลธรรมและการเมือง
การปกครอง
ล าพอง กลมกูล (2554) ได้เสนอโมเดลการวัดการสะท้อนคิดจากการด าเนินการวิจัยเรื่องการพัฒนา
โมเดลเชิงสาเหตุของกระบวนการสะท้อนคิดของผู้สอนในการท าวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนพบว่า โมเดลการวัด
การสะท้อนคิดสามารถวัดได้จากตัวแปรสังเกตมี 6 ขั้นตอน ดังนี้
1. รู้ว่าก าลังท าอะไร คือ การศึกษาขั้นตอนการท าวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนให้เข้าใจก่อนลง
มือปฏิบัติ
2. แก้ไขในสิ่งที่คลุมเครือ คือ การเข้าใจในปัญหาในแต่ละขั้นตอนของการท าวิจัยปฏิบัติการ
ในชั้นเรียน
3. เรียนรู้จากการกระท า คือ การเรียนรู้รูปแบบของปัญหาและสามารถวิเคราะห์จุดเด่นและ
จุดด้อยของตนเองในการท าวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน
4. น าสู่ความเข้าใจใหม่ คือ ความสามารถในการประยุกต์ใช้วิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียน ควบคู่
ไปกับการเรียนการสอนในชั้นเรียน
5. คิดให้เป็นนวัตกรรม คือ ความสามารถในการเลือกใช้วิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนเมื่อเกิด
ปัญหาระหว่างการเรียนการสอน
6. ทดลองตามที่คิดเป็นหลัก คือ การน าทักษะการท าวิจัยปฏิบัติการในชั้นเรียนที่ได้เรียนรู้ใน
แต่ละครั้ง ไปทดลองใช้กับปัญหาในรูปแบบอื่นและแลกเปลี่ยนวิธีการกับเพื่อนผู้สอนได้ทดลองใช้วิธีการของ
ตนเองด้วย
เอกชัย วิเศษศรี (2557, หน้า 20) สังเคราะห์ องค์ประกอบร่วมของการวัดการสะท้อนคิดพบว่า
โมเดลการวัดการสะท้อนคิดมี 6 องค์ประกอบ และปรับแก้ไขชื่อองค์ประกอบให้มีความสอดคล้องกับ
กระบวนการสะท้อนคิด ดังนี้