Page 86 - สรป 4Y กมธ กิจการเด็กฯ ชุด 25
P. 86
หน้า ๗๔ ส่วนที่ ๓
๕. ข้อมูลสถิติความรุนแรงจากกระทรวงสาธารณสุขนั้น เป็นข้อมูลความรุนแรงที่เกิดต่อเด็ก
ั
และสตรี ที่ผู้กระท าความรุนแรงอาจจะไม่ใช่บุคคลในครอบครัว แต่ข้อมูลของกระทรวงพฒนาสังคม
และความมั่นคงของมนุษย์ เป็นการจัดเก็บข้อมูลเฉพาะกรณีความรุนแรงในครอบครัว ดังนั้น ตัวเลข
ที่ปรากฏจึงเป็นข้อมูลของผู้ถูกกระท าความรุนแรงและผู้กระท าความรุนแรงที่เป็นบุคคลในครอบครัว
ซึ่งท าให้มีตัวเลขที่น้อยกว่าหน่วยงานอื่นที่เก็บข้อมูลในภาพรวม
ในส่วนของการจัดเก็บข้อมูลคดีที่มีลักษณะเป็น Battle Women Syndrome นั้น จากการ
ส ารวจสารบบคดีแล้ว พบว่า ไม่ปรากฏข้อมูลของคดีในลักษณะดังกล่าว เนื่องจากเมื่อมีการสอบสวน
ข้อเท็จจริงในคดีความรุนแรงในครอบครัว จะมีการบันทึกข้อมูลโดยอาศัยมูลเหตุแห่งคดีหรือสถานที่เกิดเหตุ
เป็นหลัก ซึ่งจะเป็นการบันทึกว่าคดีนั้นเป็นความผิดฐานใดตามประมวลกฎหมายอาญา จึงท าให้ไม่พบ
ข้อมูลของคดีในลักษณะดังกล่าวอยู่ในฐานข้อมูล
ิ
เพอการการพจารณาของคณะกรรมาธิการน าไปสู่การปฏิบัติและได้รับการแก้ไขอย่างเหมาะสม
ื่
ได้ให้ข้อเสนอแนะต่อกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว ดังต่อไปนี้
๑. ควรมีการจัดเก็บข้อมูลคดีที่มีลักษณะเป็น Battle Women Syndrome โดยที่ประชุม
เสนอให้มีการจัดเก็บข้อมูลจากหน่วยงานหรือองค์กรที่คาดหมายได้ว่ามีการจัดเก็บข้อมูลของคดีที่มีลักษณะ
ดังกล่าว ได้แก่ ศาลอาญาธนบุรี ศาลจังหวัดธัญบุรี ชมรมพนักงานสอบสวนหญิง มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล
มูลนิธิส่งเสริมความเสมอภาคของบุคคล มูลนิธิเพื่อนหญิง และมูลนิธิผู้หญิง
โดยที่ประชุมเสนอให้มีการสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับ Battle Women Syndrome
เพื่อถ่ายทอดความรู้และสร้างความเข้าใจให้แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งจะส่งผลให้การด าเนินการสอบสวน
และส่งต่อการช่วยเหลือเป็นไปด้วยความถูกต้องและเหมาะสม และเป็นประโยชน์ต่อการจัดเก็บข้อมูลคดี
ความรุนแรง
นอกจากนี้ ที่ประชุมได้ยกตัวอย่างการด าเนินการเจ้าหน้าที่ต ารวจในต่างประเทศ เช่น
สิงคโปร์ และญี่ปุ่น ที่เมื่อได้รับแจ้งความ เจ้าหน้าที่จะท าการสอบสวนในเบื้องต้นและบันทึกข้อมูล
ื่
การสอบสวนนั้น แล้วจะพิจารณาคัดกรองและส่งต่อข้อมูลไปยังภาคส่วนต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเพอด าเนินการต่อไป
ซึ่งจะมีหลักเกณฑ์ก าหนดเงื่อนไขในการด าเนินการแต่ละขั้นตอนอย่างรัดกุม
ื่
ิ่
๒. ควรมีการเพมเจ้าหน้าที่ต าแหน่งนิติกรให้ประจ าหน่วยปฏิบัติการ เพอท าหน้าที่ในการศึกษา
กฎหมายที่เกี่ยวข้องและให้ข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการด าเนินงานของหน่วยปฏิบัติการ เพื่อลดความเสี่ยงที่จะถูก
ด าเนินคดีอันเนื่องมาจากปฏิบัติหน้าที่
๓. ควรมีการจัดสวัสดิการสังคมและความคุ้มครองให้แก่อาสาสมัครที่ปฏิบัติงานในพนที่
ื้
เพื่อสร้างแรงจูงใจให้แก่คนในสังคมในการอาสาเข้ามาปฏิบัติหน้าที่เฝ้าระวังในชุมชนมากยิ่งขึ้น
ิ่
ั
๔. ควรเพมช่องทางการประชาสัมพนธ์ความรู้ความเข้าใจเรื่องความรุนแรงในครอบครัว
ื้
ให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่นต่างจังหวัดในบางพนที่ที่ประชาชนบางส่วน
ั
ไม่ได้เล่นสื่อสังคมออนไลน์ ก็ควรใช้วิธีประชาสัมพนธ์โดยสอดแทรกการรับรู้เข้าไปในการด าเนินกิจวัตร
ประจ าวันของคนในพื้นที่นั้น เช่น รถขายกับข้าว หรือรถแลกไข่ เป็นต้น
๕. แนวทางการพฒนาครอบครัวให้เป็นสถาบันครอบครัวที่เข้มแข็ง นอกจากการมีกฎหมาย
ั
ที่มีประสิทธิภาพแล้ว ควรให้ความส าคัญกับการปลูกฝังความรู้ความเข้าใจแก่เด็ก ให้ทราบถึงบทบาทหน้าที่
และความส าคัญของสถาบันครอบครัว รวมถึงการสร้างจิตส านึกเพอสร้างครอบครัวเข้มแข็งให้แก่คนในสังคม
ื่
อีกด้วย