Page 66 - STRATEGIES FOR BUDDHISM PROPAGATION OF OVERSEAS DHAMMADUTA BHIKKHUS (PH.D.)
P. 66

๔๘


                       ขยายตัวใหญ่ขึ้น (๓) มีผลประโยชน์เกิดมากขึ้น (๔) มีผู้ทรงความรู้มากขึ้น (๕) มีผู้ประพฤติผิดให้
                                   ๑๐๙
                       เป็นที่เสื่อมเสีย

                                 ๒.๔.๕  ลักษณะของการปกครอง : การจัดองค์กร
                                 การปกครองคณะสงฆ์ในสมัยพุทธกาล มีลักษณะความเป็นประชาธิปไตยและเป็นสังคมที่

                       เสมอภาค พระสงฆ์ทุกรูปมีหน้าที่ปฏิบัติตนตามพระวินัย พระเถระผู้เป็นพระอุปัชฌาย์อาจารย์มี
                       หน้าที่ปกครองสานุศิษย์ของแต่ละรูป แต่ในสังฆกรรมทั้งปวงสงฆ์ย่อมเป็นใหญ่ ไม่เลือกว่าจะเป็น

                       อาจารย์หรือสานุศิษย์ เมื่อมีกิจของสงฆ์เกิดขึ้นจะต้องประชุมสงฆ์และถือมติเอกฉันท์เป็นหลัก ฉะนั้น

                       การปกครองตามพระวินัย แบ่งเป็น ๒ ลักษณะ คือ
                                 ๑) ในลักษณะอาจารย์ปกครองศิษย์แต่ละส านัก คล้ายกับบิดามารดาปกครองบุตรธิดา

                       เป็นครอบครัวเช่นเดียวกัน
                                 ๒) ลักษณะที่สงฆ์เป็นใหญ่ในสังฆกรรม คือการงานของหมู่สงฆ์ที่เป็นส่วนรวม พระพุทธ

                       องค์ประทานความเป็นใหญ่ให้แก่หมู่สงฆ์ในการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ เช่น การอุปสมบท การลง

                       ปาฏิโมกข์ การสวดอัพภาณ เป็นต้น การมอบอ านาจชั้นแรก คือการอนุญาตให้รับสมาชิกเข้าหมู่
                       ที่เรียกว่า “จตุตถกรรมอุปสัมปทา” ซึ่งแปลว่า การบวชที่ต้องสวดประกาศอันมีการสวดเสนอญัตติ

                       รวม ๔ ครั้ง และก าหนดจ านวนสงฆ์ในการประกอบพิธีกรรม ตลอดจนก าหนดเขตที่ประชุมเรียกว่า

                             ๑๑๐
                       “สีมา”  ในการปกครองคณะสงฆ์ในสมัยพุทธกาล ในช่วงระยะกาล ๔๕ พรรษาที่พระพุทธเจ้าทรง
                       พระชนม์ชีพบ าเพ็ญพุทธกิจอยู่ มีวิวัฒนาการขององค์กรคณะสงฆ์ เริ่มจากที่พระพุทธองค์ตรัสรู้ และ

                       ตัดสินพระทัยท าการประกาศเผยแผ่พระศาสนาให้แก่ประชาชนทั่วไป เมื่อมีผู้เลื่อมใสใคร่จะบวช
                       พระพุทธองค์ก็จะประทานการบวชให้ด้วยตัวพระองค์เอง เรียกการบวชแบบนี้ว่า

                       “เอหิภิกขุอุปสัมปทา” ได้ท าการสั่งสอนพระสาวกในชั้นต้นจนได้บรรลุคุณธรรมเป็นพระอริยบุคคล

                       และได้ส่งพระสาวกเหล่านั้น ออกประกาศเผยแผ่พระศาสนายังที่ต่าง ๆ ครั้นในเวลาต่อมา ปรากฏว่า
                       มีผู้มีศรัทธาเลื่อมใสจะขอบวชด้วยจ านวนมาก พระสงฆ์สาวกได้น ากุลบุตรเหล่านั้น มาเฝ้า

                       พระพุทธเจ้าเพื่อที่จะให้พระองค์ทรงบรรพชาให้พระสาวกเหล่านั้นต่างได้รับความล าบากในการ
                       เดินทาง เพราะการคมนาคมยังไม่สะดวก ท าให้งานการเผยแผ่เป็นไปอย่างล่าช้า พระพุทธองค์ทรง

                       ค านึงถึงเหตุเหล่านี้ จึงทรงอนุญาตให้พระสาวกผู้ใหญ่ที่มีคุณสมบัติเหมาะสม เป็นพระอุปัชฌาย์ให้การ

                       บรรพชาอุปสมบทแก่กุลบุตรที่มีศรัทธาด้วยวิธี “ติสรณคมนูปสัมปทา หรือไตรสรณคมน์” และให้การ
                                             ๑๑๑
                       ปกครองดูแลกันเองในกลุ่ม


                                 ๑๐๙  วิ.มหา. (ไทย) ๑/๒๑/๑๓.
                                 ๑๑๐  คะนึงนิตย์ จันทบุตร, สถานะและบทบาทของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย,

                       (กรุงเทพมหานคร: กลุ่มประสานงานศาสนาเพื่อสังคม, ๒๕๓๒), หน้า ๙-๑๐.
                                 ๑๑๑  วิ.ม. (ไทย) ๔/๓๔/๔๒-๔๓.
   61   62   63   64   65   66   67   68   69   70   71