Page 84 - 09_กฎหมายอนทเกยวของกบการปฏบตหนาท_Neat
P. 84

๗๗



                             »ÃСÒ÷ÕèÊÕè การปลอยใหเจาหนาที่ตองรับผิดตอบุคคลภายนอกหรือตอหนวยงานของรัฐ
                 ในผลแหงละเมิดที่ตนไดกระทําไปในการปฏิบัติหนาที่ ในทุกกรณีก็ดี การนําหลักกฎหมายเรื่อง

                 ลูกหนี้รวมมาใชบังคับกับเจาหนาที่ใหตองรวมรับผิดในการกระทําของเจาหนาที่คนอื่นดวยก็ดี เปนเหตุให
                 เจาหนาที่สวนใหญไมกลาตัดสินใจดําเนินงานในหนาที่ของตนเทาที่ควร เพราะเกรงวาความรับผิด
                 อาจจะเกิดแกตน กิจการบริการสาธารณะจึงขาดความตอเนื่องและหยุดชะงัก


                 ËÅѡࡳ±¡ÒáÃÐทํา·Õè໚¹¡ÒÃÅÐàÁÔ´
                             พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาที่ ไมไดบัญญัติเรื่องลักษณะของ

                 การกระทําที่เปนละเมิดไวโดยเฉพาะ ดังนั้น การพิจารณาวาการกระทําอยางไรเปนละเมิดจึงตองพิจารณา
                 ตามหลักกฎหมายทั่วไป คือ ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชยลักษณะละเมิด
                             ÁÒμÃÒ ôòð  ผูใดจงใจหรือประมาทเลินเลอทําตอบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมายใหเขา

                 เสียหายถึงแกชีวิตก็ดี แกรางกายก็ดี อนามัยก็ดี เสรีภาพก็ดี ทรัพยสินหรือสิทธิอยางหนึ่งอยางใดก็ดี
                 ทานวาผูนั้นทําละเมิดจําตองชดใชคาสินไหมทดแทนเพื่อการนั้น
                             ¨§ã¨ หมายถึง จงใจใหเขาเสียหายในเบื้องตนนี้จําเปนตองทําความเขาใจวา เรื่องละเมิด

                 ตามกฎหมายแพงนั้น วัตถุประสงคของกฎหมายแพงซึ่งเปนกฎหมายเอกชนมุงที่การเยียวยาความเสียหาย
                 หรือการชดใชคาสินไหมทดแทนความเสียหายใหแกผูเสียหาย ดังนั้น คําวา “¨§ã¨” ในเรื่องละเมิด

                 ซึ่งเปนหลักกฎหมายแพงจึงมีความหมายที่ตองแยกออกจากคําวา “à¨μ¹Ò”  ตามกฎหมายอาญา
                 เพราะวา กฎหมายอาญานั้นมีวัตถุประสงคเพื่อนําตัวผูกระทําความผิดมาลงโทษ และ “เจตนา”
                 ตามกฎหมายอาญานั้นเปนองคประกอบภายในของความผิดทางอาญา ซึ่ง “เจตนา” ในกฎหมายอาญา
                 จะเปนการกระทําโดยผูกระทํารูสํานึกในการกระทําและในขณะเดียวกันผูกระทําก็ประสงคตอผล คือ

                 กระทําโดยมุงรายตอผูเสียหาย หรือกระทําโดยรูสํานึกในการกระทํา และขณะเดียวกันยอมเล็งเห็น
                 ผลรายที่จะเกิดขึ้นจากการกระทํานั้น

                             ในความรับผิดทางแพงอันเปนความรับผิดที่เกิดจากมูลละเมิด กฎหมายใชคําวา “¨§ã¨”
                 ซึ่งหมายถึง ผูกระทําตั้งใจกระทําอยางใดอยางหนึ่ง ซึ่งอาจจะกระทําโดยมีเจตนารายหรือกระทํา
                 โดยตองการใหผูอื่นไดรับความเสียหายโดยตรงอยางหนึ่ง และอีกอยางหนึ่ง แมผูกระทําจะมิไดมี
                 เจตนารายซึ่งเทากับขาด “เจตนา” ตามกฎหมายอาญาซึ่งทําใหขาดองคประกอบและไมเปนความผิด

                 อาญา แตเมื่อการกระทําที่ตั้งใจทํานั้นเปนเหตุใหเกิดความเสียหายแกบุคคลอื่นขึ้นมา ผูกระทําที่เปน
                 เหตุของความเสียหายนั้นก็ตองรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนความเสียหายแกผูที่ไดรับความเสียหาย

                 จากการกระทํานั้น เพราะฉะนั้น หลักกฎหมายเรื่อง “จงใจ” ในกฎหมายแพงจึงมุงพิจารณาที่
                 “¤ÇÒÁμÑé§ã¨ã¹¡ÒáÃÐทํา·Õè໚¹àËμØ¢Í§¤ÇÒÁàÊÕÂËÒ”  นั้นเองวา ผูกระทําตั้งใจทําหรือไม มิได
                 พิจารณาวาผูกระทํามีเจตนารายหรือไม
                             »ÃÐÁÒ·àÅÔ¹àÅ‹Í หมายถึง กระทําโดยปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเชนนั้น

                 จักตองมีตามวิสัยและพฤติการณและผูกระทําอาจใชความระมัดระวังเชนวานั้นได แตหาไดใช
                 เพียงพอไม ซึ่งความระมัดระวังของบุคคลตองพิจารณาตามวิสัยและพฤติการณ
   79   80   81   82   83   84   85   86   87   88   89