Page 327 - บทความทางวิชาการหลักสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล รุ่นที่ 21
P. 327
๓๑๔
เมื่อพจารณาประมวลกฎหมายวิธีพจารณาความแพง มาตรา ๑๔๗ วรรคสอง ที่บัญญัติว่า
่
ิ
ิ
ุ
ุ
ิ
ิ
“ค าพพากษาหรือค าสั่งใด ซึ่งอาจอทธรณ์ฎีกา หรือมีค าขอให้พจารณาคดีใหม่ได้นั้น ถ้ามิได้อทธรณ์ ฎีกาหรือ
ร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ภายในเวลาที่ก าหนดไว้ ให้ถือว่าเป็นที่สุดตั้งแต่ระยะเวลาเช่นว่านั้นได้สิ้นสุดลง ถ้าได้
มีอุทธรณ์ฎีกา หรือมีค าขอให้พิจารณาคดีใหม่ และศาลอุทธรณ์หรือศาลฎีกาหรือศาลชั้นต้นซึ่งพิจารณาคดีเรื่อง
นั้นใหม่ มีค าสั่งให้จ าหน่ายคดีเสียจากสารบบความตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๓๒ ค าพิพากษาหรือค าสั่งเช่นว่า
นั้นให้ถือว่าเป็นที่สุดตั้งแต่วันที่มีค าสั่งให้จ าหน่ายคดีเสียจากสารบบความ” ตามบทบัญญัติของกฎหมาย
ดังกล่าวให้ค าสั่งจ าหน่ายคดีเป็นที่สุดในวันที่มีค าสั่งให้จ าหน่ายคดีเสียจากสารบบความ ไม่ได้บัญญัติให้เป็น
ที่สุดตั้งแต่วันที่จ าเลยยื่นค าร้อง การที่ศาลฎีกามีค าสั่งให้คดีถึงที่สุดในวันที่จ าเลยยื่นค าร้อง จึงเป็นกรณีที่
ศาลฎีกาให้ความอนุเคราะห์แก่จ าเลย เพื่อให้จ าเลยได้รับประโยชน์ตามพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ
ิ
ิ
และเมื่อพจารณาประมวลกฎหมายวิธีพจารณาความแพง มาตรา ๑๔๐ วรรคท้าย ที่บัญญัติว่า “เมื่อศาลที่
่
ิ
ิ
พพากษาคดี หรือที่ได้รับค าสั่งจากศาลสูงให้อานค าพพากษาหรือค าสั่ง ได้อานค าพพากษาหรือค าสั่งตาม
่
่
ิ
บทบัญญัติในมาตรานี้วันใด ให้ถือว่าวันนั้นเป็นวันที่พพากษาหรือมีค าสั่งนั้น” ผู้ศึกษาจึงมีความเห็นตาม
ิ
ค าพพากษาศาลฎีกาที่ ๒๑๗๔/๒๕๑๔ ว่าควรออกหมายจ าคุกเมื่อคดีถึงที่สุดในวันที่ศาลชั้นต้นอานค าสั่งของ
่
ิ
ศาลฎีกา แม้คดีดังกล่าวเป็นเรื่องจ าเลยขอถอนอุทธรณ์ผลคดีก็ไม่ควรแตกต่างกัน แต่เพื่อเป็นการอนุเคราะห์ให้
จ าเลยได้รับประโยชน์จากพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ ควรเสนอให้มีการแก้ไขกฎหมายให้คดีถึง
ิ
ที่สุดในวันที่จ าเลยยื่นค าร้องขอถอนอุทธรณ์หรือถอนฎีกาตามแนวค าพพากษาศาลฎีกาส่วนใหญ่ต่อไป
๕. กรณีศาลชั้นต้นไม่รับฎีกา เพราะยื่นฎีกาเมื่อพ้นก าหนด
ิ
ุ
ุ
จ าเลยอทธรณ์ค าสั่งไม่รับฎีกา และต่อมายื่นค าร้องขอถอนอทธรณ์ค าสั่ง ศาลฎีกาพพากษาให้
ออกหมายจ าคุกเมื่อคดีถึงที่สุดเมื่อระยะเวลาฎีกาสิ้นสุดตามค าพพากษาที่ ๑๐๙๘๔/๒๕๕๑ “คดีนี้ศาลชั้นต้น
ิ
พพากษาว่า จ าเลยมีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพอจ าหน่าย และฐานจ าหน่าย
ิ
ื่
ุ
ิ
เมทแอมเฟตามีน จ าคุกกระทงละ ๔ ปี รวมจ าคุก ๘ ปี ศาลอทธรณ์ภาค ๑ พพากษายืน โดยลงโทษจ าคุก
ิ
กระทงละไม่เกินห้าปี คดีจึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพจารณา
ความอาญา มาตรา ๒๑๘ วรรคหนึ่ง เมื่อจ าเลยยื่นฎีกาพนก าหนดระยะเวลาฎีกาแล้ว ศาลชั้นต้นมีค าสั่งไม่รับ
้
ุ
ุ
ฎีกาของจ าเลย แม้ต่อมาจ าเลยจะยื่นค าร้องและอทธรณ์ค าสั่งเกี่ยวเนื่องกับค าสั่งไม่รับฎีกา และศาลอทธรณ์
ุ
ุ
ิ
ภาค ๑ มีค าสั่งรับค าร้องอทธรณ์ค าสั่งของจ าเลยไว้พจารณาก็ตาม แต่ในที่สุดศาลอทธรณ์ภาค ๑ มีค าสั่ง
อนุญาตให้จ าเลยถอนอุทธรณ์ค าสั่งได้ จึงไม่มีการรับฎีกาของจ าเลย ต้องถือว่าคดีถึงที่สุดเมื่อระยะเวลายื่นฎีกา
ิ
่
ได้สิ้นสุดลงตามประมวลกฎหมายวิธีพจารณาความแพง มาตรา ๑๔๗ วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมาย
ั
่
ิ
วิธีพจารณาความอาญา มาตรา ๑๕ คดีนี้ศาลจังหวัดสีคิ้วอานค าพพากษาศาลอทธรณ์ภาค ๑ ให้จ าเลยฟงเมื่อ
ุ
ิ
วันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๔๘ ครบก าหนดยื่นฎีกาวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๔๘ ซึ่งตรงกับวันอาทิตย์ระยะเวลายื่นฎีกา