Page 331 - บทความทางวิชาการหลักสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล รุ่นที่ 21
P. 331

๓๑๘



                                                                                                   ิ
                                                    ิ
                                                                                              ั
                            ผู้ศึกษามีความเห็นตามค าพพากษาศาลฎีกาที่ ๙๑๗/๒๕๖๔  โดยเมื่อโจทก์ที่ฟงค าพพากษาใน
                 ภายหลังไม่อทธรณ์หรือฎีกาค าพพากษา ก็ควรออกหมายจ าคุกเมื่อคดีถึงที่สุดเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาอทธรณ์หรือ
                                            ิ
                           ุ
                                                                                                  ุ
                 ฎีกาของจ าเลย เพอให้จ าเลยได้รับสถานะเป็นนักโทษเด็ดขาดเข้าสู่กระบวนการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมโดยเร็ว
                                ื่
                                  ่
                                         ิ
                 ทั้งการที่ศาลชั้นต้นอานค าพพากษาให้คู่ความฟงไม่พร้อมกัน ไม่ได้เกิดจากการกระท าของจ าเลย จึงไม่ควร
                                                         ั
                 ตีความให้เป็นผลร้ายแก่จ าเลย ปัจจุบันประธานศาลฎีกาได้ออกระเบียบราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม
                                  ิ
                 ว่าด้วยการอานค าพพากษาหรือค าสั่งของศาลสูงในลักษณะการประชุมทางจอภาพ พ.ศ. ๒๕๖๒ ปัญหาการ
                           ่
                                        ั
                 อ่านค าพิพากษาให้คู่ความฟงไม่พร้อมกันจึงน่าจะหมดไป

                 ๘. กรณีเพิกถอนหมายจ าคุกเมื่อคดีถึงที่สุด เพราะเหตุลักษณะคดี

                                               ิ
                                                                                                   ่
                            ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าค าพพากษาในส่วนของจ าเลยที่ไม่ฎีกายังไม่ถึงที่สุด คดีถึงที่สุดเมื่ออานฎีกาให้
                                                                      ๒
                                            ิ
                                 ั
                 จ าเลยที่ไม่ฎีกาฟง ตามค าพพากษาศาลฎีกาที่ ๑ ๙ ๓ ๔ / ๕ ๕ ๒     โดยคดีดังกล่าวมีข้อเท็จจริงว่า
                 ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจ าเลยทั้งสี่ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ จ าคุกจ าเลยทั้งสี่ตลอด
                 ชีวิต จ าเลยทั้งสี่อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค ๙ พิพากษาแก้เป็นว่าให้จ าคุกจ าเลยทั้งสี่กระทงละ ๒๕ ปี รวมจ าคุก

                 คนละ ๕๐ ปี จ าเลยที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ ฎีกา ส่วนจ าเลยที่ ๑ ไม่ฎีกา ศาลชั้นต้นออกหมายจ าคุกเมื่อคดีถึงที่สุด
                 ให้จ าเลยที่ ๑ โดยระบุในหมายจ าคุกเมื่อคดีถึงที่สุดว่าคดีถึงที่สุดวันที่ ๘ กันยายน ๒๕๔๖ ต่อมาศาลฎีกา

                 พพากษาลงโทษจ าเลยที่ ๒ น้อยกว่าอตราโทษขั้นต่ าที่ก าหนดไว้ส าหรับความผิดนั้น และเป็นเหตุอยู่ในส่วน
                  ิ
                                                 ั
                 ลักษณะคดีโดยพพากษาตลอดไปถึงจ าเลยที่ ๑ ที่มิได้ฎีกาด้วยตามประมวลกฎหมายวิธีพจารณาความอาญา
                                                                                           ิ
                               ิ
                 มาตรา ๒๑๓ ประกอบด้วยมาตรา ๒๒๕ ให้ลงโทษจ าคุกจ าเลยที่ ๑ กระทงละ ๑๕ ปี รวมจ าคุก ๓๐ ปี
                 ศาลชั้นต้นอานค าพพากษาศาลฎีกาให้จ าเลยที่ ๑ ฟงเมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๔๗ และออกหมายจ าคุกเมื่อ
                                                            ั
                           ่
                                 ิ
                 คดีถึงที่สุดฉบับลงวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๔๗ โดยระบุในหมายจ าคุกจ าเลยที่ ๑ ว่าคดีถึงที่สุดวันที่ ๒๒ ธันวาคม
                 ๒๕๔๗  จ าเลยที่ ๑ ยื่นอทธรณ์และฎีกาเกี่ยวกับการแก้ไขหมายจ าคุกเมื่อคดีถึงที่สุดตามล าดับ ศาลฎีกา
                                       ุ
                                            ิ
                 พิพากษาว่า “ศาลชั้นต้นอ่านค าพพากษาศาลอุทธรณ์ภาค ๙ ให้จ าเลยที่ ๑ ฟังเมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๔๖ แม้
                                                                             ิ
                 จ าเลยที่ ๑ ไม่ฎีกา เมื่อศาลฎีกาเห็นว่ามีเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดีและพพากษาตลอดไปถึงจ าเลยที่ ๑ ที่มิได้
                 ฎีกาด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๓ ประกอบมาตรา ๒๒๕ แล้ว คดีในส่วน
                                               ิ
                 ของจ าเลยที่ ๑ จึงเป็นที่สุดเมื่อศาลชั้นต้นอ่านค าพิพากษาฎีกาให้จ าเลยที่ ๑ ฟัง”

                            มีข้อสังเกตว่า ขณะศาลชั้นต้นออกหมายจ าคุกเมื่อคดีถึงที่สุดโดยระบุว่า คดีถึงที่สุดเมื่อวันที่

                 ๘ กันยายน ๒๕๔๖ จ าเลยที่ ๑ จะได้รับประโยชน์จากพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ. ๒๕๔๗
                 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๑๒ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๗

                                                                              ิ
                            ผู้ศึกษาเห็นว่า แม้ศาลอทธรณ์หรือศาลฎีกามีอานาจพพากษาคดีให้มีผลไปถึงจ าเลยที่
                                                  ุ

                    ุ
                 ไม่อทธรณ์หรือฎีกาในเหตุลักษณะคดี แต่ค าพพากษาต้องเป็นคุณแก่จ าเลย เช่น พพากษาแก้เป็นไม่ลงโทษ
                                                                                       ิ
                                                        ิ
   326   327   328   329   330   331   332   333   334   335   336