Page 47 - บทความทางวิชาการหลักสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล รุ่นที่ 21
P. 47
34
ั
ในคดีนี้ และเจ้าพนักงานต ารวจก็ได้มีโอกาสเห็นตัว ซ. อีกทั้งยังได้บันทึกรูปพรรณสัณฐานของ ซ. ไว้แล้วอน
เป็นประโยชน์ในการสืบสวนติดตามจับกุมในโอกาสต่อไป ถือได้ว่าจ าเลยที่ ๒ ได้ให้ข้อมูลที่ส าคัญและเป็น
ประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระท าความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติด
ิ
ให้โทษ พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๑๐๐/๒” แสดงว่าศาลพจารณาถึงปริมาณหรือตัวยาเสพติดที่ยึดได้เป็นเกณฑ์ แต่
ในความเป็นจริงและความมุ่งหมายของมาตรา ๑๐๐/๒ ที่ต้องการปราบปรามนายทุนหรือตัวการใหญ่ซึ่งอยู่
เบื้องหลังเครือข่ายยาเสพติดที่ส าคัญ นายทุนหรือตัวการใหญ่จะไม่เข้าเกี่ยวข้องในขั้นตอนกระท าความผิด
โดยตรงและไม่มีการเก็บยาเสพติดไว้ใกล้ตัว โดยจะสั่งการ วางแผน และมอบหมายให้บุคคลอนไปด าเนินการใน
ื่
ื่
แต่ละขั้นตอนเพอตัดตอนมิให้เชื่อมโยงไปถึงตนเอง หากต่อมามีการจับกุมนายทุนหรือตัวการใหญ่ได้ด้วยข้อมูล
ที่ผู้กระท าผิดหรือจ าเลยให้แต่ไม่สามารถตรวจยึดยาเสพติดได้หรือยึดได้ในปริมาณน้อยมาก ก็จะกลายเป็นว่า
ผู้กระท าผิดหรือจ าเลยอาจไม่ได้รับประโยชน์ตามมาตรา ๑๐๐/๒ หรือในบางกรณีที่ไม่สามารถจับกุมผู้กระท า
ผิดรายอื่นได้และไม่สามารถตรวจยึดยาเสพติดจ านวนอื่นได้ แต่เจ้าพนักงานใช้ข้อมูลที่ได้รับไปขยายผลจนมีการ
ยึดหรืออายัดทรัพย์สินของบุคคลในเครือข่ายยาเสพติดได้ตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปราม
ผู้กระท าความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.๒๕๓๔ หากมุ่งเน้นเฉพาะผลส าเร็จในการจับกุมตัวบุคคลหรือปริมาณ
ยาเสพติด โดยมองข้ามความส าคัญหรือคุณค่าของตัวข้อมูลก็จะท าให้ผู้กระท าผิดหรือจ าเลยที่ให้ข้อมูลนั้นไม่ได้
รับประโยชน์ตามมาตรา ๑๐๐/๒ เช่นกัน
อกหนึ่งตัวอย่าง คือ การให้ข้อมูลต่าง ๆ ของผู้กระท าผิดรายอนจนเจ้าพนักงานต ารวจสามารถ
ื่
ี
ออกหมายจับตามที่ให้ข้อมูลนั้นได้ เดิมศาลฎีกาวินิจฉัยให้ได้รับประโยชน์ตามมาตรา ๑๐๐/๒ ตามค าพิพากษา
ฎีกาที่ ๖๔๐๘/๒๕๔๙ “ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนจ าเลยทั้งสามได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับภูมิล าเนาที่อยู่ รูปพรรณ
ี
ื่
สัณฐาน และรายละเอยดอน ๆ ของ ช. ผู้ที่ว่าจ้างให้จ าเลยทั้งสามขนยาเสพติดให้โทษของกลางไปส่งให้แก่
ลูกค้า เมื่อพนักงานสอบสวนให้ดูรูปถ่ายของ ส. จ าเลยทั้งสามยืนยันว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับ ข. จริง จนเป็น
เหตุให้มีการออกหมายจับ ส. จากข้อเท็จจริงดังกล่าวนับว่าจ าเลยทั้งสามได้ให้ข้อมูลที่ส าคัญและเป็นประโยชน์
อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระท าความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อเจ้าพนักงานต ารวจและพนักงาน
สอบสวน จึงเห็นสมควรวางโทษต่ ากว่าที่ศาลล่างทั้งสองก าหนดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ.
๒๕๒๒ มาตรา ๑๐๐/๒” แต่ภายหลังศาลฎีกากลับวินิจฉัยว่าไม่ได้รับประโยชน์ตามมาตรา ๑๐๐/๒ ตามค า
พิพากษาฎีกาที่ ๓๐๗๒/๒๕๕๓ “แม้พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๑๐๐/๒ จะให้ศาลมี
อานาจลงโทษผู้กระท าความผิดน้อยกว่าอตราโทษขั้นต่ าที่ก าหนดไว้ส าหรับความผิดนั้นได้ก็ตาม แต่ก็เป็น
ั
ิ
ดุลพนิจของศาลที่จะพจารณาตามที่เห็นสมควร มิใช่บทบังคับ ซึ่งข้อเท็จจริงที่จ าเลยแจ้งต าหนิรูปพรรณ ก.
ิ
และ ป. ให้พนักงานสอบสวนทราบ จนมีการออกหมายจับบุคคลทั้งสอง แต่ทางน าสืบของโจทก์และจ าเลยไม่
ปรากฏว่าพนักงานสอบสวนสามารถจับกุม ก. และ ป. มาด าเนินคดีได้หรือไม่ อย่างไร ค าให้การในชั้นสอบสวน
ั
ของจ าเลยจึงยังไม่มีเหตุผลเพยงพอที่จะฟงว่าจ าเลยให้ข้อมูลที่ส าคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการ
ี
ปราบปรามการกระท าความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อพนักงานสอบสวน จึงไม่มีเหตุสมควรที่จะก าหนด
ั
ิ
โทษจ าเลยให้น้อยกว่าอตราโทษขั้นต่ าที่กฎหมายก าหนดไว้” อนเป็นการใช้ดุลพนิจที่ไม่เป็นไปในแนวทาง
ั
เดียวกัน
เพื่อให้ปัญหาในเรื่องการตีความของการเป็นข้อมูลส าคัญที่จะได้รับประโยชน์ตามมาตรา ๑๐๐/๒
ลดน้อยหรือหมดไป ผู้เขียนเห็นว่าศาลควรมีการวางกรอบให้เป็นหลักเกณฑ์ที่แน่ชัด เพอให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
ื่