Page 43 - บทความทางวิชาการหลักสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล รุ่นที่ 21
P. 43

30


                 อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระท าความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษต่อเจ้าพนักงานต ารวจหรือพนักงาน

                                                      ั
                 สอบสวน ย่อมไม่อาจลงโทษจ าเลยน้อยกว่าอตราโทษขั้นต่ าที่ก าหนดไว้ส าหรับความผิดนั้นตามพระราชบัญญัติ
                 ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๑๐๐/๒ ได้”
                                 ิ
                            หากพจารณาตามข้อขัดข้องตามที่กล่าว การที่ศาลวางกรอบเวลาอย่างเคร่งครัดเช่นนี้ย่อมมี
                 ลักษณะเป็นการจ ากัดสิทธิของผู้กระท าผิดหรือจ าเลยที่อาจจะไม่ได้รับประโยชน์จากมาตรา ๑๐๐/๒ อย่างเป็นธรรม

                                                                           ี
                 ทั้งที่ได้ให้ข้อมูลส าคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งแก่เจ้าพนักงานแล้ว อกทั้งการให้ข้อมูลเพอจะได้รับประโยชน์
                                                                                           ื่
                 ตามมาตรา ๑๐๐/๒ มีผลถึงการก าหนดโทษ มิใช่มีผลต่อเนื้อหาในคดีโดยตรง ย่อมไม่ควรถูกจ ากัดด้วยการยื่น
                 ค าร้องและน าเสนอข้อเท็จจริงภายในเวลาก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาเท่านั้นโดยถือว่าเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวมาใน
                                                 ิ
                 ศาลชั้นต้น ซึ่งแต่เดิมศาลฎีกาเคยมีค าพพากษารองรับไว้ คือค าพิพากษาฎีกาที่ ๗๔๒/๒๕๕๔ “แม้จ าเลยให้การ
                 รับสารภาพในชั้นพจารณาของศาลชั้นต้นและแถลงไม่ติดใจสืบพยานก็ตาม แต่เมื่อจ าเลยเห็นว่าจ าเลยได้ให้
                                 ิ
                 ข้อมูลที่ส าคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระท าความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ
                                                   ้
                                                                  ื่
                 ต่อพนักงานสอบสวน จ าเลยย่อมยกขึ้นอางในชั้นอทธรณ์เพอให้ได้รับประโยชน์โดยรับโทษน้อยกว่าอตราโทษ
                                                                                                    ั
                                                           ุ
                 ขั้นต่ าที่ก าหนดไว้ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.๒๕๒๒ มาตรา ๑๐๐/๒ ได้ แม้ว่าจ าเลยจะไม่ได้
                 ยกข้อกฎหมายนี้ขึ้นว่ากล่าวในศาลชั้นต้นมาก่อนก็ตาม” อันเป็นการคุ้มครองสิทธิให้ในระดับหนึ่งว่าผู้กระท าผิด
                 หรือจ าเลยสามารถยื่นค าร้องและน าเสนอข้อเท็จจริงต่อศาลเมื่อใดก็ได้ก่อนศาลมีค าพพากษาถึงที่สุด
                                                                                      ิ
                            แต่อย่างไรก็ดี ค าพิพากษาฎีกาที่ ๗๔๒/๒๕๕๔ ดังกล่าวยังไม่ครอบคลุมในกรณีที่ผู้กระท าผิดหรือ

                 จ าเลยเปลี่ยนใจให้ข้อมูลในภายหลังจากคดีถึงที่สุด และกรณีที่ผู้กระท าผิดหรือจ าเลยให้ข้อมูลไว้ตั้งแต่ต้นแต่
                              ิ่
                 เจ้าพนักงานเพงจะสืบสวนขยายผลจนไปจับกุมนายทุนหรือตัวการใหญ่ได้ภายหลังจากคดีถึงที่สุดแล้ว ซึ่งใน
                                                     ี
                 ประเด็นนี้เคยมีค าพพากษาฎีกาวางแนวไว้อกว่า ข้อมูลตามมาตรา ๑๐๐/๒ นี้ต้องเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นก่อน
                                 ิ
                           ิ
                 ศาลชั้นต้นพพากษา ส่วนข้อมูลที่เกิดขึ้นภายหลังจากนั้น แม้ท าให้เจ้าพนักงานสืบสวนขยายผลไปจนจับกุม
                                                                                 ิ
                                ื่
                 ผู้กระท าผิดรายอนได้ แต่ก็ไม่ได้รับประโยชน์ตามมาตรา ๑๐๐/๒ คือค าพพากษาฎีกาที่ ๓๖๗๘/๒๕๕๖
                 “ข้อเท็จจริงที่เป็นข้อมูลที่ส าคัญและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการปราบปรามการกระท าความผิดเกี่ยวกับยาเสพ
                 ติดให้โทษที่จ าเลยให้แก่เจ้าพนักงานต ารวจอนจะเป็นเหตุให้ศาลจะลงโทษจ าเลยน้อยกว่าอตราขั้นต่ าที่ก าหนด
                                                                                            ั
                                                      ั
                 ไว้ส าหรับความผิดโดยอาศัยพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๐๐/๒ นั้น จะต้องเป็น
                                                           ิ
                 ข้อเท็จจริงที่ได้เกิดขึ้นก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีค าพพากษา เมื่อปรากฏว่าข้อมูลที่จ าเลยอางว่าเป็นผู้ให้แก่
                                                                                             ้
                 เจ้าพนักงานต ารวจจนสามารถจับคนร้ายซึ่งเป็นหนึ่งในเครือข่ายยาเสพติดให้โทษได้นั้น เกิดขึ้นภายหลังจากที่
                 จ าเลยฟังค าพิพากษาศาลอุทธรณ์แล้ว จ าเลยจึงไม่อาจที่จะได้รับประโยชน์จากกฎหมายดังกล่าว” ด้วยแนวการ
                 บังคับใช้ของศาลในลักษณะนี้ ยิ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นการก าหนดกรอบเวลาที่เป็นการจ ากัดสิทธิของผู้กระท าผิด

                 หรือจ าเลยที่ประสงค์จะให้ข้อมูลในภายหลัง หรือให้ข้อมูลแล้วแต่มีการสืบสวนขยายผลได้ในภายหลังท าให้
                 ไม่ได้รับประโยชน์ตามมาตรา ๑๐๐/๒ แม้เรื่องนี้มีความเห็นในมุมหนึ่งว่า การให้ข้อมูลควรต้องให้ในเวลา
                 ใกล้เคียงหรือในทันทีที่การกระท าผิดเกิดขึ้น ผู้กระท าผิดหรือจ าเลยที่ต้องการได้ประโยชน์ตามมาตรา ๑๐๐/๒
                 จึงต้องให้ข้อมูลโดยเร็วหรือในทันทีเพอที่รัฐจะไม่เสียประโยชน์ในการปราบปรามยาเสพติด แต่ในสภาพของ
                                                 ื่
                 ความเป็นจริงไม่อาจเป็นเช่นนั้นเสมอไป และมีความเห็นในอกมุมหนึ่งว่า หากการให้ข้อมูลหรือการเสนอ
                                                                     ี
                 พยานหลักฐานนั้นท าในเวลาใดก็ได้ ย่อมท าให้คดีไม่แล้วเสร็จเด็ดขาด คดีที่ถึงที่สุดไปแล้วและอยู่ระหว่างจ าเลย
                                                           ิ
                                 ิ
                 ได้รับโทษตามค าพพากษาอาจถูกหยิบยกขึ้นมาพจารณาและก าหนดโทษใหม่อย่างไม่รู้จบ ท าให้เกิดความ
   38   39   40   41   42   43   44   45   46   47   48