Page 696 - บทความทางวิชาการหลักสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล รุ่นที่ 21
P. 696

๖๘๔




                 ตามที่ต้องการโดยปราศจากการแทรกแซง อย่างไรก็ดีด้วยธรรมชาติของมนุษย์ท าให้มีโอกาสสูงที่จะเห็น
                                                                        ื่
                 ประโยชน์ส่วนตนเป็นหลักมากกว่าประโยชน์ของสังคมหรือผู้อนในลักษณะมือใครยาวสาวได้สาวเอา
                 ประกอบสภาพสังคมและเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลง ท าให้มีผลกระทบต่อแนวความคิดของหลักเสรีภาพในการ

                 แสดงเจตนาหรือหลักความศักดิ์สิทธิ์ของการแสดงเจตนาดังกล่าวมาโดยตลอด ท าให้บุคคลผู้ท าสัญญาที่อยู่ใน

                                            ี
                 ฐานะทางเศรษฐกิจที่ด้อยกว่าอกฝ่ายหนึ่งจนมีอานาจต่อรองในท าสัญญาที่ด้อยกว่าและจ ายอมต้องเข้า
                 ท าสัญญาที่ตนเสียเปรียบซึ่งหมายรวมถึงอตราดอกเบี้ยต่าง ๆ ด้วย    ประเทศต่าง ๆ จึงเริ่มเข้ามาแทรกแซง
                                                                        ๗
                                                   ั

                   ื่
                                                                       ี
                 เพอคุ้มครองบุคคลผู้เข้าท าสัญญาที่มีอานาจต่อรองที่ด้อยกว่าอกฝ่ายเพอท าให้เกิดความเป็นธรรมโดยมี
                                                                              ื่
                                         ิ
                                                                  ิ
                 รากฐานมาจากทฤษฎีสังคมพทักษ์ (Paternalism) หรือรัฐพทักษ์ ซึ่งเกิดจากแนวความคิดที่ว่ารัฐเป็นเสมือน
                                     ื่
                 บิดา กฎหมายที่มีอยู่ก็เพอควบคุมการใช้สิทธิของปัจเจกชนไม่ให้เกิดความขัดแย้งกันหรือลดความขัดแย้งของ
                 ผลประโยชน์ของคนในสังคมให้ลดน้อยลงมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ลักษณะของสังคมจึงมีการปกครองแบบ
                         ๘
                 พ่อกับลูก

                 ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา

                        ประเทศไทยก็มีพฒนาการเกี่ยวกับทฤษฎี “หลักเสรีภาพในการแสดงเจตนา” ไม่แตกต่างจาก
                                       ั
                                        ื่
                                                                                            ื่
                 ประสบการณ์ของประเทศอน ๆ ดังกล่าวข้างต้น ท าให้ประเทศไทยเริ่มเข้ามาแทรกแซงเพอคุ้มครองบุคคล

                                                                   ื่
                                                           ี
                 ผู้เข้าท าสัญญาที่มีอานาจต่อรองที่ด้อยกว่าอกฝ่ายเพอท าให้เกิดความเป็นธรรมโดยมีรากฐาน
                 มาจากทฤษฎีสังคมพทักษ์ (Paternalism) หรือรัฐพทักษ์ต่อเนื่องเป็นล าดับ หากกล่าวเฉพาะในส่วนที่
                                                              ิ
                                   ิ
                                                                         ่
                            ั
                 เกี่ยวข้องกับอตราดอกเบี้ย ประเทศไทยก็เริ่มมีประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๔ ที่บัญญัติว่า
                 “ท่านห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละสิบห้าต่อปี ถ้าในสัญญาก าหนดดอกเบี้ยเกินกว่านั้น ก็ให้ลดลงมาเป็น
                 ร้อยละสิบห้าต่อปี โดยกฎหมายประกาศใช้บังคับเมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๔๗๔  ภายหลังในปี ๒๔๗๕ ก็ได้มี
                                                ั
                 พระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอตรา พ.ศ. ๒๔๗๕ ประกาศใช้บังคับ โดยมาตรา ๓ บัญญัติว่า “บุคคลใด
                 ให้บุคคลอนยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยเกินอตราที่กฎหมายก าหนดไว้มีความผิดฐานเรียกดอกเบี้ยเกินอตรา
                          ื่
                                                                                                      ั
                                                   ั
                 ต้องระวางโทษไม่เกิน ๑ ปีหรือปรับไม่เกิน ๑,๐๐๐ บาทหรือทั้งจ าทั้งปรับ” ซึ่งศาลฎีกาก็ได้มีค าพิพากษาฎีกา
                 ที่ ๕๖๗/๒๕๑๑ และมีฎีกาที่ ๕๗๘๑/๒๕๓๓, ฎีกาที่ ๕๖๗/๒๕๓๖ วินิจฉัยท านองเดียวกันว่า ดอกเบี้ย
                                                        ั
                 เกินกว่าร้อยละ ๑๕ ต่อปี เป็นดอกเบี้ยที่เกินอตราที่กฎหมายก าหนดและเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติ
                                                                      ั
                                     ั
                 ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอตราพ.ศ.๒๔๗๕ มาตรา ๓ ข้อก าหนดอตราดอกเบี้ยดังกล่าวตกเป็นโมฆะทั้งหมด
                 ไม่ใช่โมฆะเฉพาะส่วนที่เกินร้อยละ ๑๕ ต่อปี ปัจจุบันประเทศไทยได้มีตราพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ย
                 เกินอัตรา พ.ศ.๒๕๖๐ ใช้บังคับแทนพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. ๒๔๗๕ โดยระบุเหตุผล

                 การออกกฎหมายใหม่ในหมายเหตุท้ายพระราชบัญญัติว่าพระราชบัญญัติฉบับเดิมใช้บังคับมาเป็นเวลานาน



                        ๗  คนึง ฦาไชย (๒๕๓๖, มกราคม – กุมภาพันธ์) “เสรีภาพในการท าสัญญากับอ านาจต่อรองที่ไม่เท่าเทียมกัน :

                 อะไรคือความเป็นธรรมในสังคตม.”, ดุลพาห, เล่มที่ ๑, ปีที่ ๔๐. หน้า ๗๖
                        ๘  รองพล  เจริญพันธ (๒๕๒๐). กฎหมายแพ่งหลักทั่วไป เล่ม ๒. กรุงเทพฯ : เจริญวิทย์การพิมพ์. หน้า ๗๕
                                       ์
   691   692   693   694   695   696   697   698   699   700   701