Page 698 - บทความทางวิชาการหลักสูตร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาล รุ่นที่ 21
P. 698
๖๘๖
ิ
เมื่อพจารณาต่อไปถึงค าว่า “ดอกเบี้ย” “เบี้ยปรับ” และ “หนี้เงิน” ซึ่งบทความฉบับนี้มุ่งหมายนั้น
่
ค าว่า “ดอกเบี้ย” มีความหมายตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย์ มาตรา ๑๔๘ หมายถึง
ื่
ื่
ทรัพย์สินหรือประโยชน์อย่างอนที่ได้มาเป็นครั้งคราวแก่เจ้าของทรัพย์จากผู้อนเพอการได้ใช้ทรัพย์นั้น ค าว่า
ื่
ี
่
“เบี้ยปรับ” นั้นไม่ปรากฏค านิยาม เพยงแต่มีประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย์ มาตรา ๓๗๙ บัญญัติว่า
“ถ้าลูกหนี้สัญญาแก่เจ้าหนี้ว่าจะใช้เงินจ านวนหนึ่งเป็นเบี้ยปรับเมื่อตนไม่ช าระหนี้ก็ดี หรือไม่ช าระหนี้ให้
ั
ึ
ั
ถูกต้องสมควรก็ดี เมื่อลูกหนี้ผิดนัดก็ให้ริบเบี้ยปรับ ถ้าการช าระหนี้อนจะพงท านั้นได้แก่งดเว้นการอนใด
ั
ั
อนหนึ่ง หากท าการอนนั้นฝ่าฝืนมูลหนี้เมื่อใด ก็ให้ริบเบี้ยปรับเมื่อนั้น” ซึ่งอาจารย์อนุมัติ ใจสมุทร อธิบาย
ื่
ความไว้ว่า “เบี้ยปรับเป็นข้อสัญญาที่คู่สัญญาฝ่ายลูกหนี้ได้ให้ไว้ต่อเจ้าหนี้ว่าจะให้เงินหรือช าระหนี้อย่างอน
ตามที่ก าหนดเมื่อลูกหนี้ผิดนัดหรือท าการฝ่าฝืนมูลหนี้” ส่วนหนี้เงินนั้น ท่านอาจารย์ไพโรจน์ วายุภาพ
๑๐
ได้ให้ค าอธิบายว่าเป็นหนี้ที่ต้องช าระเป็นเงินตราอาจจะเป็นหนี้เงินที่เกิดจากมูลหนี้อะไรก็ได้ เช่น เกิดจาก
สัญญาซื้อขายที่ผู้ซื้อต้องช าระเงินค่าสินค้า เกิดจากการกระท าละเมิดที่ผู้กระท าละเมิดต้องชดใช้ค่าเสียหาย
เป็นตัวเงินหรือคืนเงินที่เอาไปโดยไม่ชอบ หรือเกิดขึ้นตามกฎหมาย เช่น ค่าอุปการะเลี้ยงดูซึ่งต้องจ่ายเป็นเงิน
หรือค่าภาษีที่ต้องจ่ายตามประมวลกฎหมายรัษฎากร เป็นต้น ปกติหนี้เงินมักจะเป็นหนี้ในทางเยียวยาเพราะ
ั
เงินตราสามารถใช้เยียวยาความเสียหายได้ทุกอย่างเป็นการทั่วไป ในส่วนอตราดอกเบี้ยนั้นเดิมประมวล
๑๑
ั
่
ั
กฎหมายแพงและพาณิชย์ มาตรา ๗ บัญญัติว่า “ถ้าจะต้องเสียดอกเบี้ยแก่กนและมิได้ก าหนดอตราดอกเบี้ย
ั
ไว้โดยนิติกรรมหรือโดยบทกฎหมายที่ชัดแจ้งให้ใช้อตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี” และมาตรา ๒๒๔ วรรคแรก
บัญญัติว่า “หนี้เงินนั้น ท่านให้คิดดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี ถ้าเจ้าหนี้อาจเรียกดอกเบี้ยได้
ื่
ั
สูงกว่านั้น โดยอาศัยเหตุอย่างอนอนชอบด้วยกฎหมายก็ให้ส่งดอกเบี้ยต่อไปตามนั้น” ซึ่งศาลฎีกาก็มี
ั
ิ
ค าพพากษายืนยันหลักการการใช้อตราดอกเบี้ยตามกฎหมายทั้งสองมาตราดังกล่าวมาโดยตลอด เช่น ฎีกาที่
๒๓๕/๒๕๐๗ วินิจฉัยว่า “สัญญากู้ยืมเงินที่ระบุว่าให้คิดดอกเบี้ยกันตามกฎหมาย แต่ไม่ได้ก าหนดอตราว่า
ั
เท่าใดนั้น ต้องคิดดอกเบี้ยกันร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีและถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของสัญญากู้ ซึ่งผู้ให้กู้จะน าสืบเป็น
ว่าได้ตกลงดอกเบี้ยกันในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีไม่ได้”
ฎีกาที่ ๑๙๗-๑๙๙/๒๕๑๕ วินิจฉัยว่า “ในกรณีผู้เช่าซื้อค้างช าระค่าเช่าซื้อ แม้สัญญาเช่าซื้อ
จะระบุว่าให้คิดดอกเบี้ยในอตราสูงสุดเท่าที่กฎหมายอนุญาต แต่ก็ไม่มีกฎหมายบัญญัติไว้โดยตรงว่าให้คิด
ั
ั
ดอกเบี้ยได้สูงสุดในอตราเท่าใด จึงต้องใช้อตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จะน าอตราดอกเบี้ยร้อยละสิบห้าต่อปี
ั
ั
ส าหรับเงินกู้ยืมมาอนุโลมใช้ส าหรับเงินค่าเช่าซื้อค้างช าระโดยมิได้ก าหนดกันไว้ในสัญญาหาได้ไม่”
่
ฎีกาที่ ๓๘๗๔/๒๕๖๐ วินิจฉัยว่า “ตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย์ มาตรา ๑๑๑๒ บัญญัติ
ไว้ชัดเจนว่าผู้ถือหุ้นที่ยังมิได้ส่งใช้ค่าหุ้นตามวันก าหนด จ าต้องเสียดอกเบี้ยนับแต่วันที่ก าหนดให้ส่งใช้จนถึง
๑๐ อนุมัติ ใจสมุทร (๒๕๑๔) ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยสัญญา มาตรา ๓๕๔ -๓๙๔. หน้า ๑๙๙
๑๑ ไพโรจน์ วายุภาพ. (๒๕๔๙) ค าอธิบายประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หนี้ (พิมพ์ครั้งที่ ๕) กรุงเทพฯ ส านัก
อบรมศึกษากฎหมายแห่งนิติบัณฑิตยสภา. หน้า ๖๔