Page 106 - รายงานประจำปี 2564 คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
P. 106
ศาลทหาร หรือก่อนวันนั่งพิจารณาคดีครั้งแรกสำหรับ ยื่นคำร้องโต้แย้งเขตอำนาจศาล การที่ศาลที่รับฟ้อง
ศาลปกครองหรือศาลอื่น ในการนี้ให้ศาลที่รับฟ้อง ทำความเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของอีกศาลหนึ่ง
รอการพิจารณาไว้ชั่วคราว และให้จัดทำความเห็นส่งไป ตามแนวคำวินิจฉัยดังกล่าวจะถือว่าเป็นกรณีที่
ให้ศาลที่คู่ความร้องว่าคดีนั้น อยู่ในเขตอำนาจโดยเร็ว ...” ศาลเห็นเองว่า คดีไม่อยู่ในอำนาจของศาลตน
เมื่อคดีนี้จำเลยโต้แย้งเขตอำนาจศาลไว้ในคำให้การ ตามมาตรา ๑๐ วรรคสาม พระราชบัญญัติว่าด้วย
โดยไม่ได้ทำเป็นคำร้องยื่นต่อศาลเป็นการเฉพาะ การวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒
จึงเป็นการโต้แย้งเขตอำนาจศาลที่ไม่ชอบด้วย อย่างไรก็ตาม เมื่อปี ๒๕๖๔ คณะกรรมการฯ ได้มี
มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง ของพระราชบัญญัติดังกล่าว คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล (คำสั่ง)
ทั้งการทำความเห็นเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล ที่ ๑๑๒/๒๕๖๔ วางหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการเสนอเรื่อง
ตามพระราชบัญญัตินี้ ต้องเป็นกรณีที่ศาลจัดทำ กรณีเขตอำนาจศาลขัดแย้งกันที่น่าสนใจและดูเหมือน
ความเห็นของตนเกี่ยวกับเขตอำนาจศาลตามข้อโต้แย้ง จะแตกต่างจากแนวคำวินิจฉัยเดิม ซึ่งผู้เขียนจะขอ
ที่เริ่มกระบวนการโดยการที่จำเลยหรือผู้ถูกฟ้องคดี วิเคราะห์คำวินิจฉัย (คำสั่ง) ในคดีดังกล่าว ดังนี้
ทำเป็นคำร้องตามมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง หรือเป็นกรณี คำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
ที่ศาลที่รับฟ้องเห็นเองว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจของ (คำสั่ง) ที่ ๑๑๒/๒๕๖๔ คดีนี้ เป็นคดีที่ศาลจังหวัด
ศาลอื่น ตามมาตรา ๑๐ วรรคสาม ซึ่งให้นำความ มหาสารคามโดยสำนักงานศาลยุติธรรมซึ่งเป็น
ในมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง มาใช้บังคับโดยอนุโลม ดังนั้น หน่วยงานธุรการกลางส่งเรื่องให้คณะกรรมการวินิจฉัย
เมื่อปรากฏว่าจำเลยมิได้กระทำตามวิธีการที่กฎหมาย ชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลวินิจฉัยชี้ขาดตาม
กำหนด ทั้งไม่ใช่กรณีที่ศาลเห็นเองว่าคดีไม่อยู่ในอำนาจ พระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่
ของศาลตน อันจะถือได้ว่ามีปัญหาขัดแย้งกันเกี่ยวกับ ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ กรณีเขตอำนาจศาล
เขตอำนาจศาล กรณีจึงไม่ต้องด้วยบทบัญญัติตาม ขัดแย้งกันระหว่างศาลจังหวัดมหาสารคามกับ
พระราชบัญญัติว่าด้วยการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ ศาลปกครองขอนแก่น
ระหว่างศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ มาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง โดยมีข้อเท็จจริงในคดีว่า คดีนี้โจทก์เป็นเอกชน
และวรรคสาม อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติว่าด้วย ยื่นฟ้องเอกชนด้วยกันเป็นจำเลยที่ ๑ กรมที่ดิน
การวินิจฉัยชี้ขาดฯ มาตรา ๑๗ วรรคสอง ประกอบ จำเลยที่ ๒ อ้างว่า โจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์
ข้อบังคับคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดฯ ข้อ ๒๙ (๒) ที่ดินร่วมกันตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๘๒๓๗๒ ตำบลเกิ้ง
ให้จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบความ อำเภอเมืองมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม โดยอ้าง
จะเห็นได้ว่า จากแนวคำวินิจฉัยที่ยกตัวอย่าง ว่าได้รับความเสียหาย กรณีเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัด
ข้างต้น เป็นกรณีที่คณะกรรมการฯ เคยมีคำสั่งให้ มหาสารคามนำที่ดินบางส่วนในด้านทิศตะวันออก
จำหน่ายเรื่องออกจากสารบบความ หากจำเลยโต้แย้ง ของที่ดินโฉนดเลขที่ ๘๒๓๗๒ ซึ่งเป็นที่ดินของโจทก์
เขตอำนาจศาลไว้ในคำให้การ หรือจำเลยไม่ได้ยื่นคำร้อง ทั้งสองให้เป็นถนนสาธารณะโดยไม่ได้รับความยินยอม
โต้แย้งเขตอำนาจศาลเป็นหนังสือ ก็จะเป็นการโต้แย้ง จากโจทก์ที่ ๑ ต่อมา จำเลยที่ ๑ ได้นำดินลูกรัง
เขตอำนาจศาลที่ไม่ถูกต้องตามรูปแบบของกฎหมาย มาเทลงบริเวณที่ดินพิพาทดังกล่าวเพื่อทำเป็นถนน
แต่หากข้อเท็จจริงในคดี คู่ความฝ่ายที่ถูกฟ้องไม่ได้ เข้าออกถาวรและใช้ประโยชน์เพียงผู้เดียว ขอให้ศาล
104 ร า ย ง า น ป ร ะ จ ำ ปี ๒ ๕ ๖ ๔
คณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล