Page 121 - นิตยสารดุลพาห เล่มที่ ๒-๒๕๖๑-กฎหมาย
P. 121

ดุลพาห




            คำาอุทธรณ์ก็ตามแต่ลักษณะของข้อกล่าวอ้างเป็นข้อกล่าวอ้างที่ถือเป็นเหตุเช่นว่านั้นหรือไม่

            กล่าวคือ จะต้องปรากฏว่าข้อกล่าวอ้างนั้นมีลักษณะเป็นประเด็นที่เกี่ยวกับความสงบ
            เรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนด้วย กรณีจึงจะเป็นคำาอุทธรณ์ที่ไม่ต้องห้ามมิให้รับ

            ไว้พิจารณา” ๕

                     (๓) ในประเด็นสำาคัญ จำานวนเงินที่รัฐจะต้องชดใช้ในคดีสัญญาและในคดีพิพาท

            เกี่ยวกับการอนุญาโตตุลาการนั้น ไม่ได้เกิดจากการที่รัฐไปเสนอหรือตกลงว่าตนจะรับผิดชดใช้
            เงินเอาเองตามอำาเภอใจ หากแต่เกิดจากความตกลงสมัครใจที่รัฐตกลงผูกพันไว้ตั้งแต่ต้น และ

            เกิดจากการชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการซึ่งเป็นกลไกการชี้ขาดที่เกิดจากความสมัครใจ

            และความตกลงร่วมกันของคู่สัญญานั่นเอง

                     ผู้เขียนเห็นว่า ไม่ว่าหลักดังกล่าวจะมีขึ้นในกฎหมายปกครองของประเทศฝรั่งเศส

            เพื่อปรับใช้แก่กรณีใดก็ตาม แต่การนำามาปรับใช้ในกฎหมายปกครองของไทยมีข้อจำากัด
            อย่างมาก โดยถึงแม้อาจนำาหลักดังกล่าวมาปรับใช้ในกฎหมายปกครองของไทยได้เช่นกัน

            ในบางกรณี แต่ไม่อาจนำามาปรับใช้แก่กรณีของสัญญาทางปกครอง (เว้นแต่สัญญายอมความ)



            ๕. คําสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ อ. ๑๓๗๔/๒๕๖๐, ที่ อ. ๓๒๐/๒๕๖๑ นอกจากนี้ โปรดดูคําพิพากษาศาล
              ปกครองสูงสุดที่ อ. ๑๘๗๖/๒๕๕๙ ซึ่งวางหลักว่า “พระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕
              มีวัตถุประสงค์เพื่อให้การระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการเป็นไปด้วยความรวดเร็วตามเจตนาของ
              คู่สัญญาที่เลือกใช้วิธีระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการ จึงบัญญัติให้คําชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ
              จะได้รับการพิจารณาจากศาลเพียงชั้นเดียว  ยกเว้นเป็นคําสั่งหรือคําพิพากษาตามกรณี  (๑)  ถึง  (๕)
              จึงจะอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาหรือศาลปกครองสูงสุดได้  การตรวจรับคําอุทธรณ์ของศาลจึงต้องพิจารณาถึง
              บทบัญญัติดังกล่าวด้วย ซึ่งกรณีตามมาตรา ๔๕ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ
              พ.ศ.  ๒๕๔๕  ที่ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์นั้น  จะต้องเป็นเรื่องที่การยอมรับหรือบังคับตามคําชี้ขาดจะเป็นการ
              ขัดต่อประโยชน์สาธารณะหรือประโยชน์ของประชาชนส่วนรวมโดยตรงหรือมีการทุจริตแสวงหา
              ประโยชน์โดยไม่ชอบ  หรือเป็นการที่คณะอนุญาโตตุลาการดําเนินกระบวนพิจารณาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
              อันจะเป็นเรื่องของความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนได้  ส่วนการที่คณะอนุญาโตตุลาการ
              ใช้ดุลพินิจในการปรับใช้ข้อกฎหมายหรือข้อกําหนดในสัญญา  หรือในการรับฟังและชั่งน้ําหนักพยานหลักฐาน
              เพื่อนํามาวินิจฉัยชี้ขาดให้เป็นไปตามสิทธิหน้าที่ของคู่สัญญานั้น  ไม่อาจถือว่าเป็นกรณีเกี่ยวกับความ
              สงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนได้    สําหรับกรณีตามมาตรา  ๔๕  วรรคหนึ่ง  (๒)  แห่ง
              พระราชบัญญัติเดียวกันนั้นจะต้องเป็นการที่คําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลปกครองชั้นต้นฝ่าฝืนต่อ
              บทกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ซึ่งบทกฎหมายดังกล่าวหมายถึงบทบัญญัติ
              ที่ให้ความคุ้มครองผลประโยชน์ของส่วนรวมคู่กรณีจะแสดงเจตนาตกลงเป็นอย่างอื่นหรือยกเลิกไม่นํา
              บทบัญญัตินั้นมาใช้บังคับไม่ได้”.



            110                                                              เล่มที่ ๒ ปีที่ ๖๕
   116   117   118   119   120   121   122   123   124   125   126