Page 117 - นิตยสารดุลพาห เล่มที่ ๒-๒๕๖๑-กฎหมาย
P. 117

ดุลพาห




            ดังที่เกิดขึ้นตามแนวคำาพิพากษา (CE sect. 19 mars 1971, mergui, Rec. 235, concl.
            Rougevin-Bavills ; CE, 29 décember 2000, Comparat, BJDCP 2001,n˚ 17, p. 337,

            concl. Fombeur) มีผลว่าในกรณีที่ฝ่ายปกครองไปทำาสัญญายอมความยอมรับผิดจ่ายเงิน

            ในสิ่งที่ศาลเห็นว่าฝ่ายปกครองไม่สมควรต้องจ่าย ต่อมาหากฝ่ายปกครองปฏิเสธที่จะจ่าย
            ตามสัญญายอมความนั้น ศาลก็จะไม่ตัดสินให้ฝ่ายปกครองต้องจ่าย นอกจากนั้น ตำาราดังกล่าว

            ยังได้อธิบายไว้ด้วยว่า หลักดังกล่าวนี้ไม่อาจนำามาใช้อย่างเคร่งครัดเกินไปโดยหากจะพิจารณา
            ยึดถือความเห็นของศาลเป็นหลัก โดยให้คู่สัญญาต้องคาดเดาให้ตรงตามสิ่งที่ศาลจะตัดสิน

            กรณีย่อมเห็นได้ว่าสัญญายอมความคงจะต้องตกเป็นโมฆะเสียทุกกรณี  หลักดังกล่าวนี้
            จึงพิจารณาแต่เพียงว่าการจ่ายเงินนั้นมีความสมเหตุสมผลจากหนี้ที่เกิดขึ้น ในตอนท้ายของ

            การอธิบายประเด็นนี้ตำาราเล่มเดียวกันนี้ยังมีข้อสรุปด้วยว่า ในเรื่องของคดีพิพาทเกี่ยวกับ

            สัญญายอมความ จะนำามาใช้เพื่อจัดการกับข้อพิพาทเกี่ยวกับการปฏิบัติตามสัญญาหรือเพื่อ
            จัดการผลที่เกิดขึ้นจากการที่สัญญาตกเป็นโมฆะ ๓


                     (๒) เมื่อศึกษาเปรียบเทียบกับกรณีความรับผิดทางสัญญาพบว่า หลักดังกล่าวนี้
            ไม่ปรากฏว่ามีการนำามาใช้โดยตรงแก่กรณีความรับผิดทางสัญญา ทั้งนี้ เป็นเพราะสภาพ

            แห่งหนี้ในทางสัญญาเป็นสิ่งที่เกิดจากเจตนาตกลงกันของคู่สัญญามาตั้งแต่เริ่มต้น จำานวน
            เงินที่รัฐต้องรับผิดหรือไม่ เท่าใด จึงเป็นสิ่งที่มีเหตุผลสนับสนุน และเกิดจากการที่รัฐเป็นผู้ให้

            สัญญาข้อผูกพัน (engagement) เอาไว้เอง คำาพิพากษาของศาลปกครองที่อธิบายข้อจำากัด
            การปรับใช้หลักเช่นนี้ปรากฏอยู่ในคำาพิพากษาศาลปกครองชั้นอุทธรณ์แห่งกรุงปารีส ลงวันที่

            ๒๐ ตุลาคม ค.ศ. ๒๐๑๑ คดี Société Brame et Lorenceau โดยในคดีนี้เป็นเรื่อง
            ความรับผิดทางสัญญาโดยตรง และฝ่ายปกครองได้ยกหลักนี้ขึ้นเป็นข้อต่อสู้เพื่อให้ตนไม่

            ต้องรับผิดศาลในคดีนี้ได้วินิจฉัยเอาไว้ว่าฝ่ายปกครองไม่อาจอ้างหลักนี้มาเพื่อปฏิเสธความ
            รับผิดทางสัญญาที่ตนให้ไว้ได้


                     (๓) อันที่จริงหลักดังกล่าวนี้ถือได้ว่าเป็นหลักกฎหมายเฉพาะในกฎหมายปกครอง

            เพราะในกฎหมายเอกชนอาจไม่ได้มีหลักอย่างเดียวกันนี้ โดยถึงแม้ในหนี้ระหว่างเอกชน
            ด้วยกันอาจเข้าใจกันอย่างผิวเผินไปว่า เมื่อไม่ได้เป็นหนี้บุคคลนั้นก็ไม่จำาต้องชำาระในสิ่งที่ตน

            ไม่ได้เป็นหนี้เช่นกัน แต่หากศึกษาระบบกฎหมายว่าด้วยหนี้กฎหมายเอกชนแล้วจะเห็นได้ว่า

                                                                       e
            ๓.  Laurent  Richer,  DROIT  DES  CONTRATS  ADMINISTRATIFS,  6  e่dition,  2008,  L.G.D.J.,
              หน้า ๓๒๓ - ๓๒๕.


            106                                                              เล่มที่ ๒ ปีที่ ๖๕
   112   113   114   115   116   117   118   119   120   121   122