Page 115 - นิตยสารดุลพาห เล่มที่ ๒-๒๕๖๑-กฎหมาย
P. 115
ดุลพาห
กับดุลพินิจของคณะอนุญาโตตุลาการ ย่อมเห็นได้ว่าเมื่อเป็นดุลพินิจของกลไกการชี้ขาด
ต่างกลไกกัน กรณีที่ดุลพินิจของกลไกดังกล่าวจะแตกต่างกันจึงอาจเกิดขึ้นได้เสมอ และหากมี
ผู้ยกประเด็นขึ้นว่า “รัฐไม่ต้องจ่ายในสิ่งที่รัฐไม่ได้เป็นหนี้” ก็ยิ่งทำาให้ฟังดูมีความน่าสนใจ
และดูมีนำ้าหนักมากขึ้นในการปฏิเสธไม่ยอมรับคำาชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ
ด้วยเหตุนี้ จึงควรแก่การศึกษาทำาความเข้าใจว่า หลัก “รัฐไม่ต้องจ่ายในสิ่งที่รัฐ
ไม่ได้เป็นหนี้” เป็นหลักกฎหมายที่มีอยู่จริงหรือไม่ และมีความหมายที่แท้จริงของหลัก
ดังกล่าวอย่างไร (๑) หลักดังกล่าวจะมีข้อจำากัดในการนำามาปรับใช้ในคดีปกครองเกี่ยวกับ
การอนุญาโตตุลาการของไทยหรือไม่ เพียงใด (๒)
๑. คว�มหม�ยที่แท้จริงของหลัก “รัฐไม่ต้องจ่�ยในสิ่งที่รัฐไม่ได้เป็นหนี้”
หลัก “รัฐไม่ต้องจ่ายในสิ่งที่รัฐไม่ได้เป็นหนี้” เป็นหลักที่มีอยู่ในกฎหมายปกครอง
ของประเทศฝรั่งเศส มีชื่อเรียกอย่างสั้นๆ ว่า “non-paiement de l’indu” ซึ่งเป็นหลัก
ที่นักกฎหมายไทยทั่วๆ ไปคงไม่ค่อยได้ยินใครหยิบยกขึ้นกล่าวถึงมากนักหรือแม้แต่
นักกฎหมายไทยที่จบจากต่างประเทศก็อาจไม่คุ้นกับหลักนี้ แต่หากได้ลองหยิบยกขึ้นมาแล้ว
ก็น่าจะเรียกความสนใจจากผู้คนได้มากทีเดียว เพราะฟังดูสมเหตุสมผลและให้ความรู้สึกว่า
เป็นหลักที่ช่วยให้รัฐไม่ต้องสูญเสียเงิน โดยเฉพาะถ้ามีการสำาทับสรรพคุณของหลักนี้ด้วยว่า
เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน (l’ordre public) ก็ย่อมทำาให้
เรียกความสนใจได้มากขึ้นไปอีก เพราะสรรพคุณเช่นนี้ย่อมหมายถึงว่าศาลอาจหยิบยกเอาหลัก
ดังกล่าวขึ้นมาปรับใช้แก่การพิจารณาพิพากษาคดีได้เอง แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นก็ตาม
หลักกฎหมายปกครองหลักนี้มาจากถ้อยคำาที่ใช้ในคำาพิพากษาทำานองที่ว่า
“les personnes publiques ne peuvent être condamnées à payer plus qu’elles
ne doivent” ซึ่งพอจะแปลความเป็นภาษาไทยได้ว่า “ฝ่ายปกครองไม่อาจถูกตัดสินให้จ่าย
เงินเกินไปกว่าที่ตนจะต้องจ่าย” เมื่อพิจารณาเฉพาะจากถ้อยคำาทั้งที่ใช้ในภาษาฝรั่งเศส
และที่แปลเป็นภาษาไทยดังกล่าวข้างต้นแล้ว อาจทำาให้เกิดความเข้าใจไปในทางที่ว่าในกรณี
ที่มีคดีในศาลโดยมีรัฐเป็นคู่ความและมีประเด็นพิพาทว่า รัฐต้องรับผิดชดใช้เงินแก่คู่ความ
อีกฝ่ายหนึ่งหรือไม่ เพียงใด ถ้าศาลเห็นว่ารัฐไม่ต้องรับผิดก็เท่ากับว่ารัฐไม่ต้องรับผิด
ซึ่งจะทำาให้หลักนี้มีบทบาทสำาคัญอย่างยิ่งในการพิพากษาคดีและแทบจะกลายเป็นตัวกำาหนด
ขอบเขตความรับผิดของรัฐเลยเสียทีเดียว
104 เล่มที่ ๒ ปีที่ ๖๕