Page 148 - Thesis PhD Anger by Chaichana
P. 148

๑๒๙



                       จำนวนมากเหล่านี้ที่เกิดจากอโทสะ มี อโทสะเป็นเหตุ มีอโทสะเป็นแดนเกิด มีอโทสะเป็นปัจจัยย่อม
                                              ๑๔
                       เกิดมีแก่บุคคลผู้ไม่มีโทสะนั้น

                                 พระพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมเป็นที่สิ้นราคะ โทสะ และโมหะนี้เรียกว่า อมตะ อริยมรรคมี
                                                                                     ๑๕
                       องค์ ๘ นี้แลเป็นทางที่ให้ถึงอมตะ ได้แก่ ๑. สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ ๘. สัมมาสมาธิ  ภิกษุ ทั้งหลาย เราจัก
                       แสดงอสังขตธรรมและทางที่ให้ถึงอสังขตธรรมแก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจง ฟังอสังขตธรรมคือ
                       อะไร คือความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะและความสิ้นโมหะ นี้เราเรียกว่าอสังขตธรรม ทางที่ให้

                       ถึงอสังขตธรรม คืออะไรคือ สมถะและวิปัสสนา นี้เราเรียกว่าทางที่ให้ถึงอสังขตธรรม
                                                                                           ๑๖
                                               ั
                                 การแผ่เมตตาจิตอนไพบูลย์ โอวาทอปมาด้วยเลื่อย ภิกษุทั้งหลาย หากพวกโจรผู้ ประพฤติ
                                                              ุ
                       ต่ำทราม จะพึงใช้เลื่อยที่มีที่จับ ๒ ข้างเลื่อยอวัยวะน้อยใหญ่ ผู้มีใจคิดร้ายแม้ในพวกโจรนั้น ก็ ไม่ชื่อว่า

                       ทำตามคำสั่งสอนของเรา เพราะเหตุที่อดกลั้นไม่ได้นั้น แม้ในข้อนั้น เธอทั้งหลายควร สำเหนียกอย่างนี้
                       ว่า “จิตของเราจักไม่แปรผัน เราจักไม่เปล่งวาจาชั่วหยาบ และจักอนุเคราะห์ด้วยสิ่ง ที่เป็นประโยชน์

                       อยู่อย่างผู้มีเมตตาจิต ไม่มีโทสะ เราจักแผ่เมตตาจิตไปให้บุคคลนั้นอยู่ และเราจักแผ่ เมตตาจิตอัน
                       ไพบูลย์ เป็นมหัคคตะ ไม่มีขอบเขตไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียนไปยังสัตว์โลกทุกหมู่ เหล่าอันเป็น

                                                                                                     ๑๗
                       อารมณ์ของเมตตาจิตนั้นอยู่” ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายควรสำเหนียกด้วยอาการ ดังกล่าวมานี้
                                                                                    ุ
                                 จากข้อมูลเบื้องต้นพบว่า วิธีระงับความโกรธทางกายนั้น พระพทธะองค์ไม่ทรงให้ ตอบโต้
                       ใด ๆ หากมีผู้ที่จะทำร้ายด้วยฝ่ามือ ก้อนดิน ท่อนไม้และศัสตรา แต่ให้ละฉันทะและวิตกอัน อาศัย

                                                 ิ
                                                                       ั
                                                                 ั
                                                                          ่
                                                         ั
                       เรือนเสย และให้รำลกในใจว่า จตของเราจกไม่แปรผน เราจกไมเปล่งวาจาชั่วหยาบ และจกอนุเคราะห์
                                                                                               ั
                                       ึ
                             ี
                       ด้วยสิ่งที่เป็นประโยชน์อยู่อย่างผู้มีเมตตาจิต ไม่มีโทสะ เป็นการระงับการกระทำทางกาย ด้วยจิตที่
                       เมตตา
                                ๒) หลักธรรมระงับความโกรธทางวาจา ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท พบว่ามี
                       หลักธรรมที่ใช้ระงับความโกรธทางวาจา ดังนี้
                                พระพุทธเจ้าทรงตรัสเรื่องการทำใจให้หนักแน่นเหมือนแผ่นดิน ดังนี้ บุคคลอื่นเมื่อพูดจะ

                                                                                                      ึ
                        ึ
                       พงพูดตามกาลอันสมควรหรือไม่สมควรก็ตาม จะพึงพูดเรื่องที่เป็นจริงหรือไม่เป็นจริงก็ตาม จะพงพูด
                       คำที่อ่อนหวานหรือหยาบคายก็ตาม จะพึงพูดคำที่มีประโยชน์หรือไร้ประโยชน์ก็ตาม จะพึงมีเมตตาจิต
                       พดหรือมีโทสะพูดก็ตาม ในข้อนั้น เธอทั้งหลายควรสำเหนียกอย่างนี้ว่า “จิตของเราจักไม่แปรผัน เรา
                        ู



                                 ๑๔  องฺ.ทุก. (ไทย) ๒๐/๗๐/๒๗๗-๔๑๑.
                                 ๑๕  สํ.ม. (ไทย) ๑๙/๗/๑๐-๖๕๘.

                                 ๑๖  สํ.สฬา. (ไทย) ๑๘/๓๖๗/๔๔๙-๔๙๖.
                                 ๑๗  ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๓๒/๒๔๔-๕๕๔.
   143   144   145   146   147   148   149   150   151   152   153