Page 151 - Thesis PhD Anger by Chaichana
P. 151

๑๓๒



                                  เพยรละบาปอกุศลธรรมที่เกิดแล้ว ภิกษสร้างฉันทะ พยายาม ปรารภความเพียร ประคอง
                                                                 ุ
                                   ี
                       จิตมุ่งมั่นเพื่อละบาปอกุศลธรรมที่เกิดแล้ว เป็นอย่างไร บรรดาธรรมเหล่านั้น บาปอกุศลธรรม ที่เกิด
                       แล้ว เป็นไฉน อกุศลมูล ๓ คือ โลภะ โทสะ โมหะและกิเลสที่ตั้งอยู่ในฐานเดียวกันกับอกุศลมูล นั้น
                       ได้แก่ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ที่สัมปยุตด้วยอกุศลมูลนั้น และกายกรรม

                       วจีกรรม มโนกรรมที่มีอกุศลมูลนั้นเป็นสมุฏฐานธรรมเหล่านี้เรียกว่า บาปอกุศลธรรมที่เกิดแล้วภิกษุ

                       สร้างฉันทะ พยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิต มุ่งมั่นเพื่อละบาปอกุศลธรรมที่เกิดแล้วเหล่านี้
                       ด้วยประการฉะนี้
                                     ๒๕

                                  สรุปเบื้องต้นได้ว่า วิธีระงับความโกรธทางวาจา คือ ต้องมีธรรมที่ชื่อว่า สัจจะ ต้องเป็นผู้มี
                       สัจจะ ไม่คะนอง ไม่มีความหลอกลวง ปราศจากวาจาส่อเสียด ไม่โกรธ หรือ พยายามรักษาศีล ๕

                       โดยเฉพาะข้อที่ ๔ คือห้ามพูดโกหก ห้ามพดจาส่อเสียด ห้ามพูดจาคำหยาบ และ ห้ามพูดเพ้อเจ้อ คือ
                                                         ู
                       มีศีลข้อที่ ๔ และมีธรรมะคือ รักษาสัจจะ


                                  ๓) หลักธรรมระงับความโกรธทางใจ ในคัมภีร์พระพุทธศาสนาเถรวาท พบว่ามี
                       หลักธรรมที่ใช้ระงับความโกรธทางใจ ดังนี้


                                 พระพุทธเจ้าทรงตรัสเรื่องการทำใจให้หนักแน่นเหมือนแผ่นดิน ดังนี้ บุคคลอื่น เมื่อพูด จะ
                                                                                                      ึ
                       พงพูดตามกาลอันสมควรหรือไม่สมควรก็ตาม จะพึงพูดเรื่องที่เป็นจริงหรือไม่เป็นจริงก็ตาม จะพงพูด
                        ึ
                       คำที่อ่อนหวานหรือหยาบคายก็ตาม จะพึงพูดคำที่มีประโยชน์หรือไร้ประโยชน์ก็ตาม จะพึงมี เมตตา

                       จิตพูดหรือมีโทสะพูดก็ตาม ในข้อนั้น เธอทั้งหลายควรสำเหนียกอย่างนี้ว่า “จิตของเราจักไม่ แปรผัน
                       เราจักไม่เปล่งวาจาชั่วหยาบ และจักอนุเคราะห์ด้วยสิ่งอันเป็นประโยชน์อยู่อย่างผู้มีเมตตาจิต ไม่มี

                       โทสะ เราจักแผ่เมตตาจิตไปให้บุคคลนั้นอยู่ และเราจักแผ่เมตตาจิตอันไพบูลย์ เสมอด้วยแผ่นดิน เป็น

                       มหัคคตะ ไม่มีขอบเขต ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน ไปยังสัตว์โลกทุกหมู่เหล่าอันเป็นอารมณ์ ของ
                                                                                          ๒๖
                       เมตตาจิตนั้นอยู่” ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายควรสำเหนียกด้วยอาการดังกล่าวมานี้

                                 พระพุทธเจ้าทรงตรัสเรื่องการทำใจให้ว่างเหมือนอากาศ ดังนี้บุคคลอื่นเมื่อพูด จะพึงพูด
                       ตามกาลอันสมควรหรือไม่สมควรก็ตาม จะพึงพูดเรื่องที่เป็นจริงหรือไม่เป็นจริงก็ตาม จะพึงพูดคำที่

                                                     ึ
                                                       ู
                       อ่อนหวานหรือหยาบคายก็ตาม จะพงพดคำที่มีประโยชน์หรือไร้ประโยชน์ก็ตาม จะพึงมี เมตตาจิตพด
                                                                                                        ู
                       หรือมีโทสะพูดก็ตาม ในข้อนั้น เธอทั้งหลายควรสำเหนียกอย่างนี้ว่า “จิตของเราจักไม่ แปรผันเราจัก
                       ไม่เปล่งวาจาชั่วหยาบ และจักอนุเคราะห์ด้วยสิ่งอันเป็นประโยชน์อยู่อย่างผู้มีเมตตาจิต ไม่มีโทสะเรา

                       จักแผ่เมตตาจิตไปให้บุคคลนั้นอยู่ และเราจักแผ่เมตตาจิตอันไพบูลย์ เสมอด้วยอากาศ เป็นมหัคคตะ




                                 ๒๕  วิ.ภิกฺขุนี. (ไทย) ๓/๑๐๓๕/๒๗๒-๔๐๑.
                                 ๒๖  ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๒๘/๒๔๐-๕๕๔.
   146   147   148   149   150   151   152   153   154   155   156